ทำไมต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี?
วันที่เผยแพร่: 25 มีนาคม 2568
วันที่เผยแพร่: 25 มีนาคม 2568
ไข้หวัดใหญ่ ชื่ออาจจะฟังดูไม่น่ากลัวเท่าโควิด-19 แต่ความจริงแล้วมีความรุนแรงกว่าที่คิด ในช่วงฤดูฝนของปี 2566 นี้ มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในช่วงที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ผู้คนเก็บตัวในบ้าน ระมัดระวังด้านสุขอนามัย โอกาสแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ก็น้อยลง
นอกจากนี้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่น้อยลง ทำให้ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ยังหมุนเวียนอยู่อย่างเบาบาง เมื่อการระบาดของโควิด-19 ลดลง สังคมเข้าสู่สภาวะปกติ ทำให้พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มากขึ้นอย่างชัดเจน ข้อมูลล่าสุดจากกรมควบคุมโรคเผยว่า ปี 2566 คนไทยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ไปแล้วกว่า 200,000 ราย และยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง เพราะคนไทยยังไม่มี ‘ภูมิคุ้มกัน’ ไข้หวัดใหญ่
อาการไข้หวัดใหญ่กับไข้ธรรมดาต่างกันอย่างไร
อาการไข้หวัดใหญ่มักมีอุณหภูมิของร่างกายสูงถึง 39 – 40 องศาเซลเซียส ระยะเวลาที่เป็นจะนานและอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่จะระบาดและพบบ่อยช่วงฤดูฝนจนถึงช่วงฤดูหนาว
ส่วนไข้หวัดธรรมดาจะเป็นได้ตลอดทั้งปี เมื่อมีอาการสามารถกินยาตามอาการร่วมกับการดูแลตัวเองพักผ่อนให้เพียงพออาการก็จะดีขึ้น แต่หากเป็นไข้หวัดใหญ่จำเป็นที่จะต้องมาพบแพทย์เพื่อรับยาต้านไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีลักษณะอย่างไร?
1. การกลายพันธุ์ และการแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
การกลายพันธุ์ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความสามารถในการกลายพันธุ์สูง โดยเฉพาะในส่วนของโปรตีน Hemagglutinin (HA) และโปรตีน Neuraminidase (NA) ซึ่งทำให้ไวรัสสามารถเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีน และการติดเชื้อก่อนหน้าได้ ซึ่งการกลายพันธุ์นี้อาจนำไปสู่การระบาดใหญ่ (Pandemic) ได้
การแพร่กระจาย สายพันธุ์ A สามารถแพร่กระจายได้ทั้งใน คน และสัตว์ เช่น นก หมู ผ่านสารคัดหลั่ง เช่น เสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ด้วยการ ไอ หรือจาม ในระยะใกล้ชิด รวมไปถึงติดจากมือ และสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายได้ทางจมูก และตา เป็นต้น
2. ความรุนแรงของการระบาด
เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความสามารถในการกลายพันธุ์ และแพร่กระจายเชื้อได้ค่อนข้างสูง จึงนำไปสู่การระบาดใหญ่ได้ ตัวอย่างเช่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 (ไข้หวัดหมู) ในปี 2009
3. กลุ่มเป้าหมายของการติดเชื้อ
ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A สามารถติดเชื้อได้ทั้งใน คน และสัตว์ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ อีกทั้งยังมีโอกาสในการข้ามสายพันธุ์ และเกิดการระบาดใหม่ได้สูง
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีลักษณะอย่างไร?
การกลายพันธุ์ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีอัตราการกลายพันธุ์ที่ต่ำกว่า ทำให้มีความคงที่มากกว่าในแง่ของสายพันธุ์ และประสิทธิภาพของวัคซีน
การแพร่กระจาย ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีการแพร่กระจายจาก คนสู่คน เท่านั้น และมักจะเกิดการระบาดในระดับท้องถิ่น
สามารถพบเชื้อได้ตลอดทั้งปี โดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นมากในช่วงฤดูหนาว ซึ่งการระบาดของสายพันธุ์ B มักจะเป็นพื้นที่ระดับภูมิภาค ที่ไม่ได้จำกัดในครัวเรือน หรือชุมชน แต่ขยายออกไปครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างขึ้น เช่น จังหวัด ภาค เป็นต้น และมีความรุนแรงน้อยกว่า โดยทั่วไปมีความรุนแรงต่ำกว่า มีโอกาสเกิดการระบาดใหญ่น้อยกว่า
ไวรัสสายพันธุ์ B ติดเชื้อเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น ไม่สามารถข้ามสายพันธุ์ไปยังสัตว์ได้
สรุป ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหนรุนแรงที่สุด ?
ลักษณะ | ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A | ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B |
ความหลากหลายทางพันธุกรรม | สูง | ต่ำ |
ความรุนแรง | สูง | ต่ำ |
การแพร่ระบาด | วงกว้าง | วงแคบ |
ลักษณะโรคไข้หวัดใหญ่
เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน โดยมีลักษณะทางคลินิกที่สำคัญคือ มีไข้สูงแบบทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สำคัญที่สุดโรคหนึ่งในกลุ่มโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ เนื่องจากเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemic) มาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางเกือบทุกทวีป ทำให้มีผู้ป่วยและเสียชีวิตนับล้านคน
สาเหตุการเกิดไข้หวัดใหญ่
วิธีการติดต่อของโรคไข้หวัดใหญ่
เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ติดต่อทางการหายใจ โดยจะได้รับเชื้อที่ออกมาปนเปื้อนอยู่ในอากาศเมื่อผู้ป่วยไอ จาม หรือพูด ในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น โรงเรียน โรงงาน การแพร่เชื้อจะเกิดได้มาก นอกจากนี้การแพร่เชื้ออาจเกิดโดยการสัมผัสฝอยละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย (droplet transmission) จากมือที่สัมผัสกับพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ แล้วใช้มือสัมผัสที่จมูกและปาก
อาการของโรคไข้หวัดใหญ่
อาการจะเริ่มหลังได้รับเชื้อ 1-4 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้แบบทันทีทันใด (ในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กมักจะสูงกว่านี้) ปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก และอาจพบอาการคัดจมูก เจ็บคอ ถ้าป่วยเป็นระยะเวลานานอาจจะมีอาการไอจากหลอดลมอักเสบ (post viral bronchitis) อาการจะรุนแรงและป่วยนานกว่าไข้หวัดธรรมดา (common cold) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่มีบางรายที่มีอาการรุนแรง เนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดบวม ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ผู้ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเสียชีวิต ได้แก่
อาการไข้หวัดใหญ่ | อาการไข้หวัดธรรมดา |
ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส | มีไข้ |
ปวดศีรษะ | ปวดศีรษะ |
ปวดกล้ามเนื้อและอ่อนเพลียมาก | เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย |
อาการปวดท้องและปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย | ไอ จาม เจ็บคอ น้ำมูกไหล |
ไอ จาม เจ็บคอ น้ำมูกไหล (อาการมักรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา) | อาจมีปัญหาระบบทางเดินอาหารได้ |
คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร | |
ไข้หวัดใหญ่มีอาการกี่วัน
ไข้หวัดใหญ่ติดต่อจากการสัมผัสละอองฝอยจากการไอและการจามของผู้ป่วย เชื้อไวรัสจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก และน้ำลาย โดยผู้ป่วยจะมีอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-4 วัน ระยะติดต่อ
ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการและจะแพร่เชื้อต่อไปอีก 3-5 วันหลังมีอาการในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กอาจแพร่เชื้อได้นานกว่า 7 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แต่ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อในช่วงเวลานั้นได้เช่นกัน
การวินิจฉัยแยกโรคไข้หวัดใหญ่
การวินิจฉัยแยกโรคไข้หวัดใหญ่จากเชื้ออื่นโดยอาศัยลักษณะทางคลินิกอย่างเดียวทำได้ยาก เชื้ออื่นๆที่ทำให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ Mycoplasma Pneumoniae, Adenovirus, Respiratory Syncytial Virus (RSV), Rhinovirus, Parainfluenza Virus, และ Legionella spp.
การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค
การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถลดความรุนแรงของอาการและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อาการของโรคไข้หวัดใหญ่และ COVID-19 มีความคล้ายคลึงกัน การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถลดและป้องกันความสับสนระหว่างโรคทั้งสองนี้ การรับวัคซีนทั้ง COVID-19 และไข้หวัดใหญ่ในเวลาเดียวกันนั้นทำได้ สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ไข่ขาวสามารถรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้
การป้องกันการแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่
เนื่องจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% สุขอนามัยที่ดีสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดูแลตัวเองที่บ้าน
ทำไมต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี ?
เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ ในการผลิตวัคซีนแต่ละปีจึงมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตามเชื้อไวรัสด้วยเช่นกัน และเนื่องจากระยะก่อโรคสั้น จำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันสูงเพียงพอเพื่อเตรียมพร้อมในการป้องกันโรค
สาเหตุเพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เรื่อยๆ การผลิตวัคซีนแต่ละปีจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตามเชื้อไวรัส เพื่อให้ครอบคลุมเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุและร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันโรคประมาณ 1 ปี จึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กระตุ้นภูมิคุ้มกันทุกปี เพื่อจะได้ป้องกันได้อย่างต่อเนื่องและให้ร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันและปรับให้เหมาะสมกับเชื้อไวรัสในแต่ละปีด้วยเช่นกัน
วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคประมาณ 70 - 90% แต่ในผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิต้านทานร่างกายไม่แข็งแรง การตอบสนองต่อวัคซีนอาจลดลง อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังมีประโยชน์ในการลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน โอกาสที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตลงได้
วัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงเปลี่ยนฤดูกาลก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโรค สำหรับประเทศไทยจะแพร่ระบาดมากในช่วงฤดูฝน (ระหว่างเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม) และฤดูหนาว (ระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม)