อาการของโรคไอกรน สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

โรคไอกรน (Whooping Cough) หรือที่บางครั้งเรียกว่า "ไอหอบ" เป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งมีอาการไออย่างรุนแรงและมีเสียง "กรน" ขณะหายใจเข้าหลังจากไอ โรคนี้อาจทำให้เด็กทารกและเด็กเล็กมีอาการหนัก และในบางกรณีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นการสังเกตอาการและรู้วิธีการดูแลลูกน้อยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญ

อาการของโรคไอกรนที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

1. อาการไอรุนแรงและหายใจกรน: เมื่อทารกหรือเด็กมีอาการไอที่รุนแรงจนทำให้เสียงหายใจขณะหายใจเข้ามีเสียงกรน โดยปกติจะเป็นการไอหลายครั้งติดกันในช่วงเวลาสั้นๆ
2. อาการไอมากขึ้นในช่วงกลางคืน: โรคไอกรนมักจะทำให้เด็กมีอาการไอมากขึ้นในช่วงกลางคืน ทำให้หลับไม่สนิทและอาจมีความเหนื่อยล้า
3. อาเจียนหลังจากไอ: หลังจากการไออย่างรุนแรง เด็กอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย ซึ่งเป็นผลจากการไอที่เกินขีดจำกัด
4. หายใจลำบาก: เมื่อไอกรนมีความรุนแรง การหายใจอาจลำบากและอาจเกิดอาการหายใจติดขัด
5. ตัวเย็นและสีผิวผิดปกติ: อาการไอกรนที่รุนแรงอาจทำให้เด็กมีอาการตัวเย็น และสีผิวซีดหรือม่วง
6. เสียงไอที่ฟื้นตัวช้า: โดยปกติแล้วจะเกิดหลังจากเด็กเริ่มมีอาการไอเป็นระยะเวลานาน

วิธีการป้องกันโรคไอกรน

การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน (DTaP) เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคไอกรนในเด็ก โดยวัคซีนนี้จะช่วยให้เด็กๆ ไม่ติดเชื้อหรือมีอาการรุนแรงจากโรคนี้ นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็ก เช่น พ่อแม่และผู้ดูแลเด็ก ควรได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

การรักษาโรคไอกรน

การรักษาโรคไอกรนจะใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis แต่การรักษาที่สำคัญที่สุดคือการรักษาอาการและการดูแลที่ดี เช่น การให้ลูกน้อยดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ หากพบอาการที่น่าสงสัย ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำที่เหมาะสม

บทบาทของแพทย์ในการดูแลเด็ก

แพทย์จะทำการวินิจฉัยและให้การรักษาโรคไอกรนโดยการให้ยาปฏิชีวนะและดูแลอาการไอกรนของเด็กให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถแนะนำวิธีการดูแลที่บ้านและการป้องกันไม่ให้ลูกน้อยติดเชื้อจากผู้ที่มีอาการ

การสังเกตอาการและรีบพาเด็กไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติจะช่วยให้การรักษาโรคไอกรนได้ผลดีและปลอดภัยที่สุด