3 วิธี ป้องกันลูกน้อย จากโรคไอกรน
วันที่เผยแพร่: 1 มกราคม 2568
วันที่เผยแพร่: 1 มกราคม 2568
โรคไอกรน (Pertussis) หรือ "ไอร้อยวัน" เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่มักพบในเด็กเล็ก หากไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน โรคนี้อาจรุนแรงและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของลูกน้อยอย่างมาก การเข้าใจอาการของโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่มสามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
ระยะของอาการไอกรน
อย่าละเลยอาการไอในเด็ก โดยเฉพาะไอเรื้อรังหรือไอรุนแรง โรคไอกรนสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน และรักษาได้หากได้รับการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ การใส่ใจสุขภาพของลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้พวกเขาเติบโตแข็งแรงและปลอดภัยจากโรคที่ป้องกันได้1. ระยะเริ่มต้น (1-2 สัปดาห์แรก) อาการในระยะนี้อาจคล้ายไข้หวัดธรรมดา ได้แก่
- มีไข้ต่ำ
- น้ำมูกไหล
- ไอเล็กน้อย
- เบื่ออาหาร
ข้อควรระวัง: ผู้ปกครองมักมองข้ามอาการเหล่านี้ เพราะดูไม่รุนแรง แต่หากปล่อยไว้อาจเข้าสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น
2. ระยะไอรุนแรง (2-4 สัปดาห์)
- ไอเป็นชุดติดกัน (10-15 ครั้งในลมหายใจเดียว)
- มีเสียง "วู้ป" (Whooping) ตอนหายใจเข้า
- อาจมีอาการอาเจียนหลังจากไอ
- ใบหน้าแดงหรือเขียวคล้ำจากการไออย่างรุนแรง
สำคัญ: ในเด็กเล็ก อาการนี้อาจทำให้ขาดออกซิเจน ส่งผลต่อสมองหรืออวัยวะสำคัญได้
3. ระยะฟื้นตัว (3-4 สัปดาห์หรือมากกว่า)
- อาการไอเริ่มลดลง
- ร่างกายค่อยๆ กลับมาแข็งแรง แต่อาจยังมีอาการอ่อนเพลีย
ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องเฝ้าระวัง
- ในเด็กเล็ก: ภาวะขาดออกซิเจน อาการชัก หรือสมองได้รับผลกระทบ
- ในเด็กโตและผู้ใหญ่: การติดเชื้อเพิ่มเติมในปอด หรือซี่โครงร้าวจากการไอรุนแรง
การป้องกันและดูแลลูกน้อย
- วัคซีนป้องกันไอกรน
- ให้ลูกน้อยได้รับวัคซีน DTP (คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก) ตามกำหนดตั้งแต่อายุ 2 เดือน และฉีดกระตุ้นตามคำแนะนำของแพทย์
- ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดเด็กเล็ก ควรตรวจสอบสถานะวัคซีนของตนเอง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ
- ไม่ให้ลูกน้อยอยู่ใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง
- หมั่นล้างมือและรักษาความสะอาดรอบตัวเด็ก
- พบแพทย์ทันทีหากสงสัยว่าเป็นไอกรน
- หากลูกมีอาการไอต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ หรือมีลักษณะไอรุนแรง ควรพามาพบแพทย์ทันที
คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง