ผ่าตัดลดน้ำหนัก...จำเป็นแค่ไหน? ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัด?

วันที่เผยแพร่: 4 กันยายน 2568

หน้าปก web : บทความผ่าตัดลดน้ำหนัก...จำเป็นแค่ไหน? ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัด?

ผ่าตัดลดน้ำหนัก...จำเป็นแค่ไหน? ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัด?

            โรคอ้วนกลายเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพระดับชาติ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญกับความยากลำบากใน

การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วนขั้นรุนแรงซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ไม่ใช่แค่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

แต่ยังรวมถึงโรคร่วมที่อันตราย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หยุดหายใจขณะหลับ และปัญหาข้อเข่าเสื่อม

       หลายคนที่พยายามลดน้ำหนักมาหลายปีด้วยวิธีควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งใช้ยาเพื่อการลดน้ำหนัก แต่กลับไม่เห็นผล

เท่าที่ควรและยังลังเล หรือไม่แน่ใจว่าตนเอง “ถึงเวลา” สำหรับการผ่าตัดหรือยัง

       บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับภาวะโรคอ้วนในมุมมองทางการแพทย์ พร้อมทั้งทำความเข้าใจว่าใครบ้างที่เหมาะสมกับการผ่าตัด และ

ควรเริ่มต้นอย่างไรให้ปลอดภัยและยั่งยืน 

เข้าใจโรคอ้วน ไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่าง แต่คือโรคเรื้อรัง

       โรคอ้วน (Obesity) เป็นภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินไป โดยเฉพาะบริเวณช่องท้อง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของระบบเผาผลาญและอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ ตับ ตับอ่อน และหลอดเลือด

       ในทางการแพทย์ เรามักใช้ ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นตัวช่วยเบื้องต้นในการประเมินภาวะอ้วน โดยคำนวณจากน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง

BMI 23.0–24.9 = น้ำหนักเกิน

BMI 25.0–29.9 = โรคอ้วนระดับ 1

BMI ≥ 30 = โรคอ้วนระดับ 2 (มีความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนสูง)


แต่อย่างไรก็ตาม BMI เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรต้องพิจารณา ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ร่วมด้วยทำได้โดยการ

วัดรอบเอว การดูอัตราส่วนเอวต่อสะโพกหรือการวัด BIA (Body Impedance Analysis) ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะอักเสบเรื้อรังและ

เป็นต้นเหตุของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่อันตราย เช่น

เบาหวานชนิดที่ 2

ความดันโลหิตสูง

ไขมันในเลือดผิดปกติ

โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง

โรคข้อเข่าเสื่อม

หยุดหายใจขณะหลับ (OSA)


ทำไมบางคนลดน้ำหนักไม่ได้ แม้จะพยายามแล้วทุกวิธี?

        แม้หลายคนจะพยายามใช้วิธีลดน้ำหนักตามมาตรฐาน เช่น คุมอาหารและออกกำลังกาย แต่ในผู้ที่มีภาวะอ้วนระดับปานกลางถึง

รุนแรง มักเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น

1. ปัจจัยด้านชีววิทยาและพันธุกรรม

 • พันธุกรรมบางชนิดทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานช้ากว่าปกติ หรือมีความอยากอาหารมากขึ้น

 • ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ เช่น ไทรอยด์ทำงานต่ำ, ภาวะดื้อต่ออินซูลิน, PCOS (กลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ)


2. การปรับตัวของร่างกาย (Metabolic adaptation)

 • เมื่อควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะลดการใช้พลังงานและเพิ่มความอยากอาหารเพื่อป้องกันการ “ขาดพลังงาน”

 • กลไกนี้ทำให้น้ำหนักคงที่หรือลดลงได้ยากในระยะยาว


3. ปัจจัยด้านพฤติกรรมและจิตใจ

 • การนอนหลับไม่เพียงพอหรือมีความเครียดสูง ทำให้ฮอร์โมนความหิว (ghrelin) สูงขึ้น และฮอร์โมนอิ่ม (leptin) ลดลง

 • ภาวะซึมเศร้าหรือการกินตอบสนองอารมณ์ (emotional eating) ทำให้ควบคุมอาหารได้ยาก


4. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

 • การทำงานหรือใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มีอาหารพลังงานสูงเข้าถึงง่าย

 • ไม่มีเวลาหรือสถานที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกาย


5. โรคหรือยาที่ส่งผลต่อน้ำหนัก

 • โรคบางชนิด เช่น Cushing’s syndrome, โรคซึมเศร้า

 • ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิด, สเตียรอยด์, ยารักษาโรคจิตเวช (antipsychotics)


การผ่าตัดลดน้ำหนักคืออะไร?

              การผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) คือการผ่าตัดที่มุ่ง ลดน้ำหนักตัวและรักษาภาวะโรคร่วมจากโรคอ้วน การผ่าตัดไม่ได้

เป็นการดูดไขมันออกจากร่างกายโดยตรง แต่เป็นการปรับโครงสร้างของระบบทางเดินอาหาร เพื่อให้ผู้ป่วย

กินได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น

ดูดซึมอาหารลดลง

ลดระดับฮอร์โมนควบคุมความหิว

การตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน


วัตถุประสงค์หลัก

 1. ลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนระดับรุนแรงและลดไม่ได้ด้วยวิธีอื่น

 2. ควบคุมหรือรักษาโรคร่วม เช่น เบาหวานชนิดที่ 2, ความดันโลหิตสูง, ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ, โรคไขมันพอกตับ

 3. ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือด และมะเร็งบางชนิด

 4. เพิ่มคุณภาพชีวิตและการเคลื่อนไหว


หัตถการลดน้ำหนัก (Bariatric Procedures) มีกี่ประเภท แล้วแตกต่างกันอย่างไร 

หัตถการลดน้ำหนัก (Bariatric Procedures) มีทั้งแบบผ่าตัด (Laparoscopy) และการส่องกล้องทางปาก (Endoscopy) โดยอาศัยกลไก ดังนี้ 


1. การลดความจุของกระเพาะอาหารอย่างเดียว (Pure restrictive procedures) เช่น 

• การผ่าตัดสลีฟ (Sleeve Gastrectomy, SG) 

เป็นการผ่าตัดที่ตัดกระเพาะอาหารออกประมาณ 80% ทำให้กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลง ช่วยลดปริมาณอาหารที่รับประทานและ

ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น รวมถึงลดการผลิตฮอร์โมนความหิวอีกด้วย

• การส่องกล้องเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลง(Endoscopic Sleeve Gastroplasty, ESG) 

คือ การส่องกล้องทางปากเข้าไปเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลงโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ปริมาตรของกระเพาะอาหารน้อยลง

เวลารับประทานอาหารแล้วรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น 

• การส่องกล้องใส่บอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหาร(Intra-Gastric Balloon, IGB) 

เป็นการส่องกล้องทางปากเข้าไปใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร เพื่อทำให้ความจุของกระเพาะอาหารน้อยลง รับประทานอาหารจะรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น


2. การผ่าตัดลดการดูดซึมอาหารอย่างเดียว (Pure Malabsorptive procedures) เช่น การผ่าตัดเชื่อมลำไส้เล็กส่วนต้นกับ

ลำไส้ใหญ่ (Jejunocolic bypass) เป็นต้น ไม่มีการตัดหรือปรับขนาดของกระเพาะอาหารให้เล็กลง ปัจจุบันไม่นิยมเนื่องจาก

เกิดภาวะแทรกซ้อนและผลการลดน้ำหนักไม่มีประสิทธิภาพในระยะยาว


3. การผ่าตัดแบบผสมผสาน (Mixed Restrictive and Malabsorptive procedures) เช่น

• Roux-en-Y gastric bypass (RYGB) 

เป็นการผ่าตัดที่แบ่งกระเพาะอาหารออกเป็นสองส่วน และเชื่อมต่อกับลำไส้เล็กส่วนกลาง ช่วยลดปริมาณการรับประทานและ

ช่วยลดการดูดซึมแคลอรี่และสารอาหาร นอกจากนี้ยังลดปริมาณฮอร์โมนความอยากอาหาร จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลง อีกทั้งยัง

เพิ่มปริมาณฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำตาล(Insulin)และทำให้ฮอร์โมนดังกล่าวทำงานดีขึ้น จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเบาหวานที่ควบคุมได้ยาก

• Sleeve Plus Procedures 

เป็นการผ่าตัดที่ผสมผสานระหว่าง Sleeve Gastrectomy กับผ่าตัดทำลำไส้ให้สั้นลงบางส่วนเพื่อลดการดูดซึมอาหาร โดยรวม

ให้ผลการรักษาคล้ายกลุ่ม RYGB คือทำให้น้ำหนักตัวลดลง และทำให้โรคเบาหวานดีขึ้นหรือหายขาดไปได้ ตัวอย่างการผ่าตัดนี้ได้แก่

Sleeve Gastrectomy with Proximal Jejunal Bypass (SG-PJB) เป็นต้น


การเลือกวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสม

       การเลือกวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สุขภาพโดยรวม, น้ำหนักตัว, โรคประจำตัว, และความต้องการ

ของผู้ป่วย การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อประเมินและเลือกวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด


เกณฑ์ที่เหมาะสมในการเข้ารับการผ่าตัดลดน้ำหนัก

       เกณฑ์การผ่าตัดลดน้ำหนักสำหรับคนไทย อ้างอิงตาม สมาคมโรคอ้วนและเมตาบอลิกแห่งประเทศไทย (Thai Bariatric Surgery Society; TBSS)

และแนวทางสากลที่ปรับให้เหมาะกับคนเอเชีย (รวมถึงเกณฑ์ของ WHO สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)


1. เกณฑ์ด้านดัชนีมวลกาย (BMI)

เนื่องจากคนเอเชียมีความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนที่ BMI ต่ำกว่าชาวตะวันตก เกณฑ์สำหรับคนไทยจึงปรับลดลง ดังนี้


BMI (kg/m²)เงื่อนไข
≥37.5สามารถพิจารณาผ่าตัดได้ แม้ไม่มีโรคร่วม
≥32.5 – < 37.5

พิจารณาผ่าตัดถ้ามีโรคร่วมรุนแรง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2, ความดันโลหิตสูง,

OSA, โรคหัวใจ, โรคไขมันพอกตับขั้นรุนแรง


การประเมินนี้ต้องดำเนินการโดย ทีมแพทย์เฉพาะทางแบบสหสาขาวิชาชีพ

2. เงื่อนไขอื่นที่พิจารณาร่วม

 • มีประวัติการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น (ควบคุมอาหาร + ออกกำลังกาย + ยา) อย่างน้อย 6 เดือน แต่ไม่สำเร็จ

 • ไม่มีภาวะที่ห้ามผ่าตัด เช่น การติดสุราหรือสารเสพติดที่ควบคุมไม่ได้, ภาวะจิตเวชรุนแรงที่ยังไม่ได้รักษา

 • ผู้ป่วยมีความเข้าใจในกระบวนการผ่าตัด ผลข้างเคียง และจำเป็นต้อง ติดตามผลระยะยาว

 • อายุทั่วไป 18–65 ปี (กรณีเด็กหรือสูงอายุต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป)


การประเมินก่อนผ่าตัด ไม่ใช่แค่เรื่องดัชนีมวลกาย

ก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยจะเข้ารับการประเมินจาก

ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทางโรคอ้วน: ตรวจร่างกาย วางแผนผ่าตัดที่เหมาะกับแต่ละคน

อายุรแพทย์เฉพาะทาง: ประเมินโรคร่วมและภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน เป็นต้น

นักโภชนาการ: วางแผนโภชนาการก่อนและหลังผ่าตัด

จิตแพทย์/นักจิตวิทยา: ตรวจความพร้อมทางอารมณ์ พฤติกรรมการกิน

นักกายภาพบำบัด: ประเมินการเคลื่อนไหวและช่วยเตรียมร่างกายให้พร้อม


หากไม่ได้รับการรักษาลดน้ำหนัก อาจเกิดอะไรขึ้น 

       ผู้ที่เป็นโรคอ้วนระดับรุนแรง จะเพิ่มความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนระยะยาวประกอบด้วย 

• ภาวะแทรกซ้อนจากโรค NCDs เช่น

-โรคเบาหวานเสี่ยงไตเสื่อมเรื้อรัง ตาบอด 

-โรคความดันโลหิตสูงเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองแตก 

-โรคไขมันในเลือดสูงเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด 

-โรคไขมันพอกตับเสี่ยงการเกิดตับอักเสบตับแข็ง  เป็นต้น 

• ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่

• ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

• ปัญหาสุขภาพจิต เพิ่มความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล

• กระทบคุณภาพชีวิต เช่น โรคข้อเสื่อมเสี่ยงเคลื่อนไหวลำบาก โรคเกาต์


       นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายทางสุขภาพระยะยาวที่สูงกว่าการรักษาลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ

การผ่าตัดลดน้ำหนักคือจุดเปลี่ยน ไม่ใช่ทางลัด

       การผ่าตัดไม่ใช่แค่การลดตัวเลขน้ำหนัก แต่คือการคืนสมดุลให้ร่างกาย และลดภาระจากโรคร้ายที่เกาะติดมานานการตัดสินใจ

ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เฉพาะทาง และต้องมีการดูแลหลังผ่าตัดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

       เริ่มต้นใหม่ได้วันนี้ นัดพบแพทย์เพื่อประเมินโอกาสในการรักษา ที่โรงพยาบาลศรีสวรรค์ ราชพฤกษ์ ผศ.นพ.วรบุตร ทวีรุจจนะ

พร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางแบบสหวิชาชีพ พร้อมให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจ และจริงใจ เพื่อสุขภาพและความปลอดภัย


แพทย์ประจำแผนก ศัลยกรรม
พญ.ธนพร อุ่นจิตติ
พญ.ธนพร อุ่นจิตติ
ศัลยศาสตร์ ศัลยกรรมตกแต่ง
นพ.วิทวัส โอมพรนุวัฒน์
นพ.วิทวัส โอมพรนุวัฒน์
ศัลยศาสตร์
นพ.มติ รัตนสกาววงศ์
นพ.มติ รัตนสกาววงศ์
ศัลยศาสตร์ตับ ตับอ่อนและทางเดินน้ำดี
พ.ท.นพ.พัฒนพล ศุภนิตยานนท์
พ.ท.นพ.พัฒนพล ศุภนิตยานนท์
ศัลยกรรมและการผ่าตัด
facebook messenger iconline icon
โรงพยาบาลศรีสวรรค์