อาการแพ้ท้อง รับมืออย่างไรให้ไม่แพ้
วันที่เผยแพร่: 5 พฤษภาคม 2568
วันที่เผยแพร่: 5 พฤษภาคม 2568
อาการแพ้ท้อง รับมืออย่างไรให้ไม่แพ้
แพ้ท้อง เป็นอาการทั่วไปของคุณแม่ตั้งครรภ์หลาย ๆ คนต้องเผชิญ และเป็นอาการเตือนอย่างแรก ๆ ที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์เลยทีเดียว แต่ในคุณแม่ตั้งครรภ์บางราย อาจจะมีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงที่น่าเป็นกังวลอยู่ จึงเกิดคำถามว่าการแพ้ท้องหนัก ของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นจะส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ของเราหรือไม่
หากมีอาการแพ้ท้องมากสามารถไปพบแพทย์ที่คลินิกสูตินรีเวชที่ไปฝากครรภ์ได้ เพื่อจะได้รับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกวิธี
แพ้ท้องคืออะไร?
แพ้ท้อง หรือ Morning Sickness คืออาการที่แสดงสัญญาณการตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรก โดยเกิดจากฮอร์โมนตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้นตามอายุครรภ์ของคุณแม่ ซึ่งอาการหนักเบามักจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน คุณแม่ตั้งครรภ์บางรายอาจจะไม่มีอาการ แต่ในบางรายก็มีอาการแพ้เกือบตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์เลยทีเดียวอาการแพ้ท้องโดยทั่วไป สาเหตุ และ ปัจจัยเสี่ยง
สาเหตุและกลไกของอาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ยังไม่เป็นที่แน่ชัด มีหลายทฤษฎีที่กล่าวถึง ในปัจจุบันเชื่อเกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน(hormonal stimulus), การปรับตัวของหญิงตั้งครรภ์(evolutionary adaptation) และ ปัจจัยทางด้นจิตใจ(psychologic predisposition)
อาการแพ้ท้อง
อาการหลักของการแพ้ท้องคือ “รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน” ส่วนใหญ่จะเป็นตอนลืมตามาในตอนเช้า หรือจะเป็นหนักตอนที่ท้องว่าง อาการเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ตัวอย่างอาการป่วยหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้
อาการแพ้ท้องเช่นไรจึงเรียกว่าแพ้มาก หรือควรต้องพบสูตินรีแพทย์
อาการแพ้ท้องรุนแรงนั้น แนะนำให้คุณพ่อ และคุณแม่ตั้งครรภ์สังเกตอาการและควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันทีที่มีอาการดังต่อไปนี้ เพื่อประเมินความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ พร้อมรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมตามอาการ
วิธีการรับมือกับอาการแพ้ท้อง
วิธีการรับมือกับอาการแพ้ท้อง รวมถึงการป้องกันอาการแพ้ท้องรุนแรง โดยปกติแล้วอาการแพ้ท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นจะหายได้เองในสัปดาห์ที่ 14 ของการตั้งครรภ์ แต่คุณแม่ตั้งครรภ์บางท่านก็อาจจะมีอาการแพ้ยาวไปจนถึงใกล้คลอดเลยก็เป็นได้ ดังนั้นในช่วงการแพ้ท้องแนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ทำตามดังต่อไปนี้ เพื่อลดการแพ้ท้อง และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ท้องรุนแรงด้วย
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายสบายมากขึ้น แต่ไม่ควรนอนมากเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อและน้ำหนักตัวได้
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ แนะนำให้ดื่มน้ำก่อนหรือหลังอาหาร 30 นาที และจิบบ่อย ๆ ในระหว่างวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะขาดน้ำจากการคลื่นไส้ อาเจียนด้วยนั่นเอง
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัด อาหารมัน และอาหารฤทธิ์ร้อน เพราะอาจไปกระตุ้นให้เกิดการแพ้ท้องได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเหนียว กะทิ มะพร้าว หรืออาหารที่มีเครื่องเทศมาก ก็ควรเลี่ยงเพราะจะทำให้เกิดอาการจุกเสียดแน่นได้ง่าย
- รับประทานอาการที่มีรสจืด อย่างเช่น โจ๊ก กล้วยสุก หรืออาหารที่มีฤทธิ์เย็น อย่าง แตงโม แก้วมังกร เป็นต้น
หากมีอาการมากขนาดนี้ ขอให้พบแพทย์
ถึงจะรู้สึกว่าแพ้ท้องหนัก แต่หากสามารถกินอาหารได้แม้ว่าจะไม่สม่ำเสมอ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ถือว่าไม่เป็นปัญหา แต่หากมีสภาพรุนแรงที่เรียกว่า “ภาวะแพ้ท้องขั้นรุนแรง (hyperemesis gravidarum)” ดังที่ระบุไว้ด้านล่างนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกได้ ขอให้ไปพบแพทย์
- อยู่ในภาวะขาดน้ำเนื่องจากอาเจียนหลายครั้งตลอดทั้งวัน
- แทบจะกินไม่ได้เลยเป็นเวลาหลายวัน
- น้ำหนักลดลง 5 กิโลกรัม จากก่อนตั้งครรภ์
- รู้สึกหมดแรงและวิงเวียน
วิธีการรักษา อาจจะเติมน้ำหรือสารอาหาร หรือให้เป็นสารวิตามินที่มีกรดโฟลิกเป็นหลัก และบางกรณีอาจจะให้สารกล่อมประสาทหรือสารระงับการอาเจียนทางเส้นเลือด สำหรับอาการป่วย มีทั้งกรณีที่ต้องไปพบแพทย์ตามกำหนดเป็นระยะและกรณีที่จำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาลนอกจากนี้ กรณีที่ไม่มีความอยากอาหารเนื่องจากแพ้ท้องติดต่อกัน แม้จะเป็นช่วงหลังไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ อาจจะส่งผลกระทบต่อลูกได้
- กรณีที่แพ้ไม่มาก แก้ไขด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน โดยรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เลี่ยงของทอด ของมัน ของที่มีกลิ่นแรงๆ เน้นอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการครบ 5หมู่ แบ่งการรับประทานอาหารเป็นมื้อย่อย และรับประทานในปริมาณครั้งละน้อยๆ จำนวนมื้อที่บ่อยขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับอาหารอย่างพอเพียง สามารถจิบน้ำขิงอุ่นๆ หรือน้ำผลไม้คั้นสดร่วมด้วย
- กรณีที่แพ้มาก ก่อนอื่นต้องบอกว่าระดับการแพ้ท้องไม่มีเกณฑ์วัดที่ชัดเจน เป็นการพิจารณาจากอาการและสภาพร่างกายของคุณแม่เป็นหลัก ซึ่งแต่ละท่านจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ซึ่งสูตินรีแพทย์จะเป็นผู้ประเมินอาการ ส่วนใหญ่กรณีที่มีอาการแพ้ท้องมากจนกระทั่งไม่สามารถรับประทานอาหารได้ อาเจียนตลอดเวลา เพียงเท่านี้ก็เป็นสัญญาณที่จะบอกได้ว่า คุณพ่อควรพาคุณแม่ไปพบสูตินรีแพทย์ที่ฝากครรภ์ได้แล้ว ในเบื้องต้นคุณแม่อาจได้รับยาแก้แพ้ช่วยบรรเทาอาการอาเจียน ยาช่วยย่อย ยาขับลม แต่สำหรับกรณีที่มีอาการแพ้ท้องรุนแรงอาเจียนมาก รับประทานอาหารไม่ได้ ร่างกายจะขาดอาหาร อ่อนเพลีย พักผ่อนได้น้อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ คุณแม่จึงอาจต้องนอนพักเพื่อให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล เป็นการป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ และเพื่อตรวจพิจารณาการแพ้ท้องที่เป็นมากเพิ่มเติมอย่างละเอียด
บรรเทาอาการทางจิตใจ
สิ่งที่ควรให้ความสนใจจึงไม่ใช่พุ่งเป้าไปว่าท้องแล้วจะแพ้หรือไม่ แต่ควรทำจิตใจให้สบาย ไม่คิดกังวล หรือเครียดกับเรื่องของลูกน้อยในครรภ์ และเรื่องชีวิตประจำวันในด้านต่างๆ เพราะคาดว่าจิตใจมีส่วนสำคัญประการหนึ่งที่เชื่อมโยงกับการแพ้ท้อง การเริ่มต้นตั้งครรภ์ที่ดีคุณแม่ควรให้ความสนใจการฝากครรภ์ทันทีเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ให้ความสำคัญกับโภชนาการอาหารที่จะรับประทานในแต่ละวัน ดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ อย่างเพียงพอ ไม่ปล่อยให้ท้องว่าง เพราะจะรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียนได้ง่าย นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และคุณลูกในครรภ์
หากคุณแม่ท่านใดต้องเผชิญกับอาการแพ้ท้อง ขอให้มองในมุมบวกว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คุณแม่หลายๆ ท่านก็ต้องเผชิญอาการเหล่านี้ ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการแพ้ที่มากผิดปกติ เพียงเท่านี้การตั้งครรภ์ของคุณก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของสองสายใยที่ผูกพันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในทุกๆ วัน
"ให้ทุกการตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่สุขใจ ดูแลโดยสูตินรีแพทย์ทุกขั้นตอน"
โทรหาเราเพื่อรับคำปรึกษา โทร.1254 กด 2
ชั้น 3 แผนกสูตินรีเวช โรงพยาบาลศรีสวรรค์ กรุงเทพมหานคร ราชพฤกษ์