ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบที่ควรรู้ ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน
วันที่เผยแพร่: 29 สิงหาคม 2568
วันที่เผยแพร่: 29 สิงหาคม 2568
ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบที่ควรรู้ ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus: HBV) เป็นหนึ่งในโรคตับที่พบบ่อย ในประเทศไทย และถือเป็นสาเหตุสำคัญของตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ หากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยอาจมีความเสี่ยง ต่อการเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ ในประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อราว 5–7% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ
โรคนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว การรู้เท่าทันวิธีการติดต่อ อาการ การตรวจ และการป้องกันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ
โรคไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นเชื้อไวรัสที่เข้าทำลายเซลล์ตับ เมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ เชื้อจะคงอยู่และก่อให้เกิดการอักเสบต่อเนื่องของตับ ซึ่งอาจพัฒนาเป็น ตับอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่
ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้ในที่สุด
การติดต่อและปัจจัยเสี่ยง
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อผ่าน เลือดและสารคัดหลั่ง ได้แก่:
กลุ่มเสี่ยงสูง
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี
ผู้ติดเชื้อหลายคนอาจ ไม่มีอาการชัดเจน จึงทำให้ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ แต่บางรายอาจมีอาการ เช่น:
อันตรายคือผู้ป่วยจำนวนมากไม่มีอาการเลย ทำให้โรคดำเนินต่อไปจนกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับโดยไม่รู้ตัว
เมื่อใดที่ควรพบแพทย์
การตรวจวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยทำได้ง่ายผ่านการ ตรวจเลือด โดยแพทย์จะตรวจหา
1. HBsAg (Surface Antigen) สารที่อยู่บนผิวไวรัส ใช้ยืนยันว่ามีเชื้อ
2. HBV DNA ตรวจปริมาณไวรัสในเลือด
3. การตรวจเลือดเพื่อดูความเสียหายของตับ
แนวทางการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี
ในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ในการรักษา ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีภาวะดับแข็ง มีพังผืดในตับสูง มีปริมาณไวรัสสูง หรือเป็นมะเร็งตับ ควรได้รับการพิจารณาการรักษา โดยการรักษาหลัก ๆ จะเป็นยาชนิดรับประทาน โดยรับประทานวันละหนึ่งเม็ด เพื่อลดปริมาณไวรัสในร่างกายและลดการเกิดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตับไม่ให้มากขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่โดยยาชนิด รับประทานมีประสิทธิภาพในการลดจำนวนไวรัสได้ดีมาก แต่อัตราในการกำจัดเชื้อไวรัสออกจากร่างกายยังน้อยอยู่ ทำให้อาจต้องรับประทานยาไปเป็นระยะเวลานานหลายปี หรืออาจจะตลอดชีวิต ในผู้ป่วยบางรายที่มีปัจจัยเชิงบวกที่อาจตอบสนองตีต่อยาต้านไวรัสชนิดฉีดแพทย์ก็อาจทำการพิจารณาใช้ยาฉีดเป็นราย ๆ เนื่องจากถึงแม้ว่ายาฉีดจะใช้เวลารักษาเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้ยาตลอดชีวิต แต่ก็มีผลข้างเคียงที่มากกว่า และมีอัตราการหายขาดจากเชื้อยังไม่สูงมากนัก
การดูแลตัวเองสำหรับผู้ติดเชื้อ
การป้องกันไม่ให้เกิดโรค (Disease Prevention)
การฉีดวัคซีน เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายของสร้างภูมิคุ้มกันของตนเอง ด้วยเชื้อโรคที่มีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ฉะนั้นเมื่อได้รับวัคชีนแล้ว อาจมีอาการบางอย่างเกิดขึ้น แต่จะมีอาการไม่มากและสามารถหายเองได้ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี สามารถป้องกันโรคตับอักเสบบี และอันตรายต่าง ๆ ที่ตามมาหลังจากการติดเชื้อตับอักเสบบีได้ รวมถึงมะเร็งตับและตับแข็ง สามารถฉีดวัดซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีเพียงชนิดเดียว หรือฉีดร่วมกับวัคซีนชนิดอื่นได้ การฉีดวัคซีน ต้องฉีดให้ครบชุด จำนวน 3 เข็ม หลังจากนั้นวัคซีนจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เกิดขึ้นในร่างกาย
ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีน?
ผลข้างเคียงของวัคซีน
อาจมีอาการปวดบริเวณที่ฉีดได้เล็กน้อย หรือมีผื่นขึ้นเฉพาะที่ และมีไข้ต่ำ ๆ ได้ อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นทันทีหลังการฉีดวัคซีนและจะมีอาการเพียง 1-2 วันหลังจากฉีดวัคซีน แต่หากมีอาการแพ้รุนแรง เช่น ลมพิษ บวมที่ใบหน้าและลำคอ หายใจไม่สะดวก หัวใจเต็นเร็ว หน้ามืดวิงเวียน ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ หรือหากกลับถึงบ้านแล้วมีอาการแพ้รุนแรง แนะนำไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที
การป้องกันเพิ่มเติม
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่อันตรายแต่สามารถป้องกันได้ การฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพ และการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อ ตับแข็งและมะเร็งตับ ได้อย่างมาก
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ