ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม เรื่องสำคัญที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม
วันที่เผยแพร่: 15 มิถุนายน 2568
วันที่เผยแพร่: 15 มิถุนายน 2568
“มะเร็งเต้านม” เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญอันดับ 1 ของผู้หญิงไทย และจะมีความเสี่ยงต่อโรคเมื่ออายุมากขึ้น หากพบเจอมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก และได้รับการรักษาอย่างทันที จะมีโอกาสหายและลดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้มากกว่าไม่ได้รับการตรวจ
12 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับโอกาสในการเกิดมะเร็งเต้านม
ในปัจจุบัน ยังคงหาข้อสรุปสาเหตุที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม พบว่ามีหลายปัจจัยที่ยืนยันแล้วว่ามีความสัมพันธ์กับโอกาสเกิดมะเร็งเต้านม ทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ ได้แก่
1 เพศ เพศหญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้ชายถึง 100 เท่า 2 เชื้อชาติ ผู้หญิงในชาติตะวันตก จะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงเอเชีย 3 การมีบุตร และการให้นมบุตร การศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่มีการคลอดบุตร เลี้ยงบุตรด้วยนมของตัวเอง จะช่วยป้องกันโอกาสเกิด มะเร็งเต้านมได้ ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่ไม่มีบุตร เป็นหมัน กินยาคุมกำเนิด หรือไม่ได้เลี้ยงบุตรด้วย น้ำนมตัวเองนั้น จะมีความโอกาสเสี่ยงมากยิ่งขึ้น 4 ฮอร์โมนเพศ ประจำเดือนมาตั้งแต่ตอนอายุน้อย ๆ หรือวัยหมดประจำเดือนมาถึงช้า ทำให้ร่างกายผู้หญิงมีโอกาส สัมผัสกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนนานขึ้น จึงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากยิ่งขึ้น 5 อายุ เมื่อมีอายุมากขึ้น โอกาสเกิดความผิดปกติของยีนในเซลล์ก็จะเพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อการเกิดมะเร็งได้ จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงอายุน้อยกว่า 45 ปี มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมประมาณ 1 ใน 8 ในขณะที่ผู้หญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป มีโอกาสพบมะเร็งเต้านมประมาณ 2 ใน 3 6 ความอ้วน โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น 7 หน้าอกแน่น (Dense Breasts) การมีหน้าอกแน่น หมายถึงการมีเนื้อเยื่อและต่อมน้ำนมมากกว่าคนอื่น ๆ จึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่า นอกจากนี้ โครงสร้างเนื้อเยื่อที่หนาแน่น ก็ทำให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยจากการตรวจด้วยเครื่องแมมโมเกรมได้ยากขึ้น
* การพิสูจน์ว่าหน้าอกแน่น ไม่ได้เกิดจากการทดลองสัมผัสเต้านมดูว่ากระชับไหม คนที่มีหน้าอกกระชับ ไม่ได้แปลว่าจะมีหน้าอกแน่นเสมอไป จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ผ่านการทำแมมโมแกรมเพื่อดูโครงสร้างเนื้อเยื่อ และต่อมต่างๆได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
8 มีประวัติของโรคและการรักษาเกี่ยวกับเต้านม หากเคยมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับเต้านม หรือเคยได้รับการฉายรังสีในบริเวณดังกล่าว จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งได้ 9 พันธุกรรม มีประวัติโรคมะเร็งเต้านมทางครอบครัว โดยเฉพาะหากญาติที่เป็นมะเร็งชนิดนี้เป็นญาติสายตรง จะยิ่งเสี่ยงมากขึ้น 10 เป็นมะเร็งเต้านมข้างหนึ่งแล้ว หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมข้างหนึ่ง จะมีความเสี่ยงถึง 3 – 4 เท่า ที่จะเกิดมะเร็งขึ้นที่เต้านมอีกข้างหนึ่ง 11 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้หญิงกลุ่มที่ดื่มแอลกฮอล์เป็นประจำ จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้หญิงที่ไม่ดื่ม 12 ควันบุหรี่ การสูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่ (ควันบุหรี่มือสอง) มีส่วนเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมคืออะไร?
มะเร็งเต้านมเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในเนื้อเยื่อเต้านม อาจเกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเต้านม เช่น
- ท่อน้ำนม
- ต่อมน้ำนม
- เนื้อเยื่อรอบเต้านม
หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา เซลล์มะเร็งอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย
ความสำคัญของการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
- ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก: ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด
- ลดความรุนแรงของโรค: การตรวจพบในระยะเริ่มต้นช่วยลดความซับซ้อนของการรักษา เช่น การรักษาด้วยรังสีรักษาเพื่อลดขนาดของก้อน การตัดเต้านม หรือการให้เคมีบำบัดร่วมด้วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
- ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา: การรักษาในระยะแรกมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการรักษาในระยะลุกลาม
วิธีตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
- การตรวจด้วยตนเอง (Breast Self-Examination - BSE) ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน โดยดูความผิดปกติ เช่น คลำพบก้อนบริเวณเต้านม ผิวหนังเปลี่ยนแปลง หรือหัวนมผิดรูป หรือมีน้ำนมไหลออกมา ควรตรวจเป็นประจำทุกเดือน ในช่วงหลังหมดประจำเดือนไปแล้วประมาณ 7-10 วัน เนื่องจากเป็นช่วงที่ เต้านมไม่มีการคัดตึง และเกิดความผิดพลาดน้อย หากพบความผิดปกติ ดังนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์
- คลำเจอก้อนนูน
- รู้สึกเจ็บ บวม แดง ร้อน
- ลักษณะรูปทรงเต้านมผิดปกติ เปลี่ยนแปลงไป
- ผิวของเต้านมลักษณะคล้ายเปลือกส้ม
- มีรอยผื่นบริเวณหัวนม ซึ่งมักคิดว่าเกิดจากผื่นแพ้ เมื่อตรวจด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมอาจไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผื่นแพ้ที่เห็นนั้นเป็นรอยโรคของมะเร็งในระยะเริ่มแรกซึ่งจะรู้ผลโดยการตรวจเพิ่มเติมจากแพทย์เฉพาะทาง
- มีน้ำใสๆ หรือเลือดซึมออกจากหัวนม ซึ่งเป็นอาการนำของโรคมะเร็งเต้านม แต่การตรวจด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมอาจจะมองไม่เห็นเท่าการตรวจร่างกายจากแพทย์ร่วมด้วย ผู้ป่วยที่พบว่ามีก้อนอยู่บริเวณขอบฐานของเต้านมซึ่งสามารถคลำได้เอง
การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
ควรเข้ารับการตรวจตั้งแต่อายุน้อยกว่า 35 ปี ควรตรวจทุกๆ 1-2 ปี ทั้งนี้ การตรวจอัลตราซาวด์ เป็นการตรวจโดยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปในเนื้อเต้านม ทำให้สามารถตรวจจับความแตกต่างของเนื้อเยื่อปกติกับก้อนในเต้านมได้
การตรวจยีนพันธุกรรม
ผู้หญิงที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ควรตรวจคัดกรองทางพันธุกรรม เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าผู้อื่น เพราะมะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติในรหัสพันธุกรรมของยีน ซึ่งสามารถถ่ายทอดสู่ลูกได้ทั้งจากบิดาหรือมารดา เพื่อเป็นการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ หากพบความผิดปกติในพันธุกรรมก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีป้องกันการเป็นมะเร็งข้างต้นได้ก่อนที่จะมีอาการ
การตรวจดิจิตอลแมมโมแกรม (Digital Mammogram)
เทคโนโลยีตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยดิจิตอลแมมโมแกรม คือ การใช้รังสีเอกซเรย์เต้านมเพื่อค้นหาความผิดปกติ ความผิดปกติที่เห็นอาจจะเป็นลักษณะก้อน ความหนาแน่นของเต้านม การกระจัดกระจายของเนื้อเต้านมที่ผิดปกติไป หรืออาจพบหินปูนในเต้านม เป็นต้น ซึ่งสามารถตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการควบคุม และใช้ตัวรับสัญญาณภาพชนิดดิจิตอล โดยข้อมูลภาพที่ได้จะส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์ไปปรากฏบนหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีความละเอียดสูง จึงช่วยให้แพทย์ที่ทำการวินิจฉัยทราบผลได้ในทันทีโดยไม่ต้องรออ่านผล และวินิจฉัยจากฟิล์มเหมือนในอดีต ดังนั้น เครื่องเอกซเรย์เต้านมระบบดิจิตอลจึงสามารถตรวจหาความผิดปกติได้ดีกว่าการตรวจแบบเอกซเรย์ทั่วไป
4 ข้อดีของดิจิตอลแมมโมแกรม (Digital Mammogram)
- คุณภาพของภาพเอกซเรย์ ภาพคมชัด สามารถแยกความแตกต่างของไขมัน และเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ของเต้านมได้ชัดเจน
- ความแม่นยำ ผลถูกต้อง และแม่นยำได้สูงถึง 90%
- ความปลอดภัย ถูกออกแบบเพื่อให้ผู้รับบริการได้รับปริมาณรังสีต่ำ (จากการศึกษาเปรียบเทียบกับ Mammogram ระบบเก่า พบว่าการรับรังสีของผู้รับบริการด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรม สามารถลดปริมาณรังสีลงจากเดิมประมาณ 30 – 60%)
- ระยะเวลาในการตรวจรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการตรวจเหลือเพียง 2 – 3 วินาที เนื่องจากมีการบันทึกภาพเต้านมแบบดิจิตอล ไม่ต้องเปลี่ยนฟิล์ม ทำให้สามารถมองเห็นภาพบนจอคอมพิวเตอร์ได้
Digital Mammogram ตรวจง่าย ไม่ยุ่งยาก
เมื่อต้องเข้ารับการตรวจ แนะนำให้ตรวจในช่วงหลังหมดประจำเดือน ไม่ควรนัดตรวจแมมโมแกรมในช่วงให้นมบุตร หรือเมื่อท่านรู้สึกคัด ตึงเต้านม หรือในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน เพราะจะทำให้เจ็บระหว่างตรวจมากกว่าช่วงเวลาอื่น นอกจากนี้ ในวันที่ตรวจไม่ควรทาแป้ง สารระงับกลิ่นกาย หรือโลชั่น บริเวณรักแร้ หรือทรวงอก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดจุดบนภาพ ทำให้การวินิจฉัยคลาดเคลื่อน
แจ้งผลการตรวจโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
รังสีแพทย์ จะทำการอ่านผลการตรวจให้แพทย์เจ้าของไข้ จากนั้นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจะเป็นผู้สรุปผลการตรวจให้ท่านทราบ หากมีความผิดปกติศัลยแพทย์จะสามารถให้คำปรึกษาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแนวทางการรักษาในลำดับต่อไป สำหรับท่านใดที่เคยตรวจแมมโมแกรม หรือดิจิตอลแมมโมแกรมมาแล้ว ควรนำภาพ และผลการตรวจเดิมมาด้วย เพื่อให้รังสีแพทย์ใช้เปรียบเทียบกับการตรวจในครั้งปัจจุบัน ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม?
- ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจแมมโมแกรมทุกปี
- ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ ควรเริ่มตรวจในอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
- ผู้หญิงที่พบความผิดปกติ เช่น มีก้อนในเต้านม ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
การป้องกันมะเร็งเต้านมในชีวิตประจำวัน
- ตรวจเช็กมะเร็งเต้านมทุกปื
- คุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน
- เลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- เสริมวิตามินลดเสี่ยง
มะเร็งเต้านม มีกี่ระยะ อะไรบ้าง
แรกเริ่มนั้น มะเร็งเต้านม แบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 ถึงระยะที่ 4 ซึ่งผู้ป่วยส่วนมากมักพบโรคในช่วงอายุ 50-60 ปี โดยแตกต่างกันตามเชื้อชาติ สำหรับข้อมูลในประเทศไทยพบมากในช่วงอายุ 45-50 ปี โดยร้อยละ 80 เป็นมะเร็งในระยะแรก (ระยะที่ 1-3) ร้อยละ 10 เป็นมะเร็งในระยะกระจาย (ระยะที่ 4) แต่การตรวจคัดกรองที่มากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้พบมะเร็งเต้านมระยะแรกมากขึ้น ในประเทศไทย
ในยุคนี้ผู้หญิงมีการตรวจเช็คมะเร็งเต้านมบ่อยขึ้นและตรวจเป็นประจำ จึงเพิ่มระยะที่ 0 เข้าไปด้วย รวมทั้งสิ้นคือ 5 ระยะ
- ระยะที่ 0 : เซลล์มะเร็งเพิ่งก่อตัว ยังอยู่ภายในเนื้อเยื่อ ณ จุดที่ก่อตัว และยังไม่แบ่งตัวลุกลามสู่ภายนอกพื้นที่
- ระยะที่ 1 : มะเร็งเริ่มลุกลามออกมานอกเนื้อเยื่อตรงจุดที่ก่อตัว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ มีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร
- ระยะที่ 2 : ก้อนมะเร็งจะมีขนาดระหว่าง 2 – 5 เซนติเมตร (ไม่เกิน 5 เซนติเมตร) โดยจะยังไม่กระจายสู่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ แต่ถ้ามะเร็งมีขนาดเล็กกว่า 2 เซนติเมตร อาจสามารถแพร่กระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ได้
- ระยะที่ 3 : ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่มากกว่า 5 เซนติเมตรขึ้นไป แล้วอาจเริ่มแพร่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้จนทั่ว
- ระยะที่ 4 : เป็นระยะที่มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ปอด กระดูก ตับ สมอง เป็นต้น ในระยะแรก ๆ เซลล์มะเร็งพึ่งจะก่อตัวขึ้น ยังไม่ทันลุกลามออกไปจากจุดที่ก่อตัว จึงยังสามารถรักษาได้ง่าย และโอกาสหายขาดสูงมาก
แนวทางป้องกัน มะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมในระยะแรกเริ่มไม่มีอาการ การตรวจร่างกายอาจยังตรวจไม่พบ เนื่องจากรอยโรคเล็กมากจึงเปรียบเสมือน “มฤตยูเงียบ” การตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคลำเต้านมอย่างถูกวิธี ไปจนถึงการเข้ารับการตรวจด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรม (Mammogram) และอัลตราซาวด์ (Ultrasound) จึงมีความสำคัญ
แพทย์มีแนวทางวินิจฉัยมะเร็งเต้านมอย่างไร
หากเราคลำพบก้อนผิดปกติบริเวณเต้านมแล้วมาพบแพทย์ แพทย์จะสอบถามประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเต้านม คลำต่อมนํ้าเหลืองที่รักแร้และที่คอ และส่งตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ ในกรณีที่มีความผิดปกติแพทย์จะทำการตรวจชิ้นเนื้อโดยการเจาะตรวจชิ้นเนื้อด้วยเข็ม (Needle biopsy) โดยไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด สามารถทำได้ง่าย ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เจ็บตัวน้อย และได้ผลการวินิจฉัยที่ตรงจุด การเจาะชิ้นเนื้อที่เต้านมเป็นเทคนิคการตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อวินิจฉัยถึงเซลล์ว่าใช่เซลล์มะเร็งหรือไม่
ตรวจก่อน รู้ก่อน แก้ไขทัน
- การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ช่วงอายุ: 20 ปีขึ้นไป ความถี่: เดือนละครั้ง
- การตรวจอัลตร้าซาวด์ ช่วงอายุ: น้อยกว่า35 ปี ความถี่: 1-2 ปี ต่อครั้ง
- การตรวจดิจิตอลแมมโมแกรม ช่วงอายุ: 40 ปีขึ้นไป ความถี่: 1-2 ปี ต่อครั้ง
คำถามที่พบบ่อย
Q1: ทำแมมโมแกรม เจ็บมากมั้ย ถ้ามีประจำเดือนอยู่ตรวจได้หรือเปล่า?
- คำตอบ: ความเจ็บในการทำแมมโมแกรมขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเนื้อเต้านม รวมถึงช่วงเวลาที่ตรวจ หากกำลังมีประจำเดือนสามารถรับการตรวจได้ตามปกติ ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย เพียงแต่ช่วงใกล้มีประจำเดือนหรือกำลังมีประจำเดือน อาจรู้สึกคัดตึงเต้านมตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้รู้สึกเจ็บกว่าปกติขณะทำการตรวจ ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจคือ 7-14 วันหลังการมีประจำเดือน
Q2: รังสีจากการทำแมมโมแกรมมีอันตรายหรือไม่?
- คำตอบ: การตรวจไม่มีอันตรายในระยะยาว โดยปริมาณรังสีที่ได้รับมีค่าต่ำมาก ซึ่งในการทำแมมโมแกรม 1 ครั้ง เทียบเท่ากับรังสีที่เราได้รับในชีวิตประจำวันประมาณ 7 สัปดาห์ ปกติรังสีมีอยู่รอบตัวเรา ทั้งในอากาศ น้ำ แสงแดด ฯลฯ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือมีความเป็นไปได้ในการตั้งครรภ์ แพทย์จะไม่แนะนำให้ตรวจ เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ แต่หากพบความผิดปกติ แพทย์จะทำการตรวจอัลตราซาวด์ให้แทน
Q3: ตรวจแมมโมแกรม ต่างกับอัลตราซาวด์อย่างไร?
- คำตอบ: การตรวจแมมโมแกรมเป็นการตรวจโดยใช้รังสี สามารถเห็นหินปูนขนาดเล็กที่ผิดปกติในเต้านม ซึ่งอาจไม่พบจากการอัลตราซาวด์ ส่วนการตรวจอัลตราซาวด์เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปในเนื้อเต้านม สามารถแยกเนื้อเยื่อเต้านมปกติกับก้อนในเต้านมได้ และบอกได้ว่าก้อนเนื้อนั้นมีอันตรายหรือไม่
Q4: ทำแมมโมแกรม ใช้เวลานานเพียงใด?
- คำตอบ: ใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยทำด้านซ้ายและขวา ด้านละ 2 ครั้ง โดยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมจะบีบเต้านมด้านบน-ล่าง และด้านข้างของเต้านม รวมทั้งหมด 4 ภาพเพื่อให้เห็นรายละเอียดภายในเนื้อเต้านม
Q4: เสริมหน้าอกมา ทำแมมโมแกรมได้หรือเปล่า?
- คำตอบ: สามารถทำแมมโมแกรมได้ตามปกติ โดยแจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่รังสีก่อนตรวจ เพื่อใช้เทคนิคในการดูเนื้อเยื่อเต้านมมากขึ้นจากปกติ ส่วนผู้ที่กังวลว่าเครื่องจะกดเต้านมจนทำให้ซิลิโคนแตกหรือไม่? ในความเป็นจริงแล้วซิลิโคนมีความยืดหยุ่นมากและจะไม่แตกจากการทำแมมโมแกรม