หลังปาร์ตี้ปีใหม่ ฟื้นฟูร่างกายยังไง ไม่ให้อ่อนเพลีย

วันที่เผยแพร่: 1 มกราคม 2568

หน้าปกบทความเรื่อง หลังปาร์ตี้ปีใหม่ ฟื้นฟูร่างกายยังไง ไม่ให้อ่อนเพลีย
        กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยกองสุขศึกษา ได้ดำเนินการเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพ ประเด็นพฤติกรรมเสี่ยงช่วงเทศกาลปีใหม่  โดยดำเนินการร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และศึกษาธิการจังหวัดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 12,305 คน จากทุกภูมิภาค ผลการสำรวจพฤติกรรมการวางแผนในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เฉพาะผู้ที่คาดว่าจะฉลองเทศกาลปีใหม่  กับเพื่อนหรือคนในครอบครัวแน่นอน
        พบว่า ประเด็นเหตุผลที่ฉลองเทศกาลเทศกาลปีใหม่   ด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  มีการวางแผนฉลองเทศกาลสงกรานต์ ด้วยการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับเพื่อน และคนในครอบครัว ทำเป็นเรื่องปกติแทบทุกปี ร้อยละ 71.6 รองลงมาเป็นช่วงเวลาที่ปลดปล่อยความเหนื่อยล้า จากการทำงานมาทั้งปี ร้อยละ 71.2 ตามมาด้วย เป็นเครื่องดื่มที่ใช้เข้าสังคม เวลาพบปะญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ร้อยละ 70.3 ตามลำดับ

แอลกอฮอล์เป็นพิษ คืออะไร ?

          ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ (alcohol poisoning) คือ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดในปริมาณมากและดื่มแบบรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ตับไม่สามารถขับสารนี้ออกจากเลือดได้ทัน ระบบการทำงานของร่างกายรวนจนเกิดภาวะช็อกที่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้

สาเหตุของภาวะ แอลกอฮอล์เป็นพิษ

       การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดจนมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษขึ้นอยู่กับปัจจัย ดังนี้
  1. การดูดซึมสารในร่างกายของแต่ละบุคคล
  2. ปริมาณความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในแต่ละชนิดของเครื่องดื่ม
  3. เพศหญิงจะมีปฏิกิริยาต่อแอลกอฮอล์ได้ไวกว่าผู้ชาย

อาการของภาวะ แอลกอฮอล์เป็นพิษ

  • สับสน
  • พูดไม่ชัด พูดไม่รู้เรื่อง
  • น้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ไม่สามารถทรงตัวได้
  • ง่วงซึม นอนหลับเยอะกว่าปกติ
  • อาเจียน
  • หายใจผิดปกติ
  • เกิดอาการชัก
  • การเคลื่อนไหวของดวงตาเร็วกว่าปกติ
  • ตัวเย็นจัด
  • ผิวหนังซีด กลายเป็นสีม่วง
  • หมดสติ ไม่รู้สึกตัว
  • เกิดภาวะกึ่งโคม่า ร่างกายไม่สามารถตอบสนองได้
  • หัวใจวายเฉียบพลัน
  • หยุดหายใจ

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น

  1. รีบโทรแจ้งหน่วยกู้ชีพ 1669 หรือโทรแจ้งตำรวจ 191 เพื่อขอความช่วยเหลือ
  2. ปลุกผู้ป่วยให้ตื่นและพยุงให้อยู่ในท่านั่ง
  3. หากยังดื่มน้ำได้ ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเปล่า
  4. หากผู้ป่วยหมดสติ ให้จับนอนตะแคงหรืออยู่ในท่าพักฟื้น คอยดูว่าผู้ป่วยยังหายใจอยู่หรือไม่
  5. หากพบว่าหยุดหายใจให้ทำการช่วยหายใจ หรือหากพบหัวใจหยุดเต้นให้เริ่มการกู้ชีพ CPR
  6. ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยอบอุ่น
  7. คอยสังเกตอาการจนกว่ารถพยาบาลจะมา
  8. อย่าให้ผู้ป่วยหลับ
  9. ห้ามอาบน้ำให้ผู้ป่วย

การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากในระยะเวลาที่สั้นและเร็ว ทำให้ตับขับแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือดไม่ทันจนเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ


ลักษณะอาการที่อาจพบและระดับแอลกอฮอล์ในเลือด (หน่วยเป็น มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือ มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์)

20 – 49 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์อารมณ์ดี ผ่อนคลาย และการตัดสินใจช้าลงเล็กน้อย
50 – 99 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เริ่มเสียการทรงตัว ควบคุมตัวเองได้น้อยลง และตอบสนองช้าลง
100 – 199 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เดินเซ กล้ามเนื้อทำงานไม่สัมพันธ์กัน
200 – 299 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์คลื่นไส้ อาเจียน การรับรู้ลดลง และจำเหตุการณ์ไม่ได้
300 – 399 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์หมดสติ ชีพจรลดลง และอุณหภูมิร่างกายลดลง
มากกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์มีโอกาสหยุดหายใจและเสียชีวิตได้

การตอบสนองต่อระดับแอลกอฮอล์อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล แม้ระดับจะน้อยกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็อาจเสี่ยงจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรือการนอนหลับลึกในท่าผิดปกติที่อุดกั้นทางเดินหายใจได้ เช่น การนอนคอพาดกับระเบียงจนกดทางเดินหายใจ


ผลกระทบต่อร่างกายจากการดื่มแอลกอฮอล์

  1. หัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ ไม่แข็งแรง เกิดหัวใจวายได้ง่าย
  2. ตับ เกิดโรคตับแข็ง ตับที่ถูกทำลายจากแอลกอฮอล์จะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดี เช่น การย่อยสลายสารอาหารหรือการเปลี่ยนแปลงของยาที่รับประทานเข้าไป บางรายอาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง หรืออาเจียนเป็นเลือด
  3. ผิวหน้า หลอดเลือดขยายตัว ผิวหน้าจะเป็นสีแดงเรื่อ ๆ ทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนออกจากทางผิวหน้า บางครั้งอาจเกิดอาการหนาวสั่นหรือเกิดโรคปอดบวมได้ง่ายในฤดูหนาว
  4. สมอง แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดการทำงานของสมองจะทำให้ความจำเสื่อม การตัดสินใจไม่ดี สมาธิเสีย โกรธง่าย พูดช้าลง สายตาพร่ามัว และเสียการทรงตัว
  5. กระเพาะอาหารอักเสบฉับพลันบางครั้งทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะอาหาร
  6. ระบบสืบพันธุ์ - เพศชายเกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ , ผู้หญิงตั้งครรภ์จะมีผลต่อทารกทั้งทางร่างกายและจิตใจ
  7. เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งช่องปากและลำคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านม

ดื่มอย่างไรถึงจะปลอดภัย

  1. รับประทานอาหารรองท้องก่อนดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมได้เร็วเมื่อท้องว่าง
  2. ไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน
  3. หลีกเลี่ยงการดื่มแบบแก้วต่อแก้วหรือดื่มครั้งละมาก ๆ
  4. เมื่อเริ่มมีอาการมึนศีรษะให้ลดปริมาณการดื่มหรือหยุดดื่มทันที
  5. อย่าดื่มจนเมาเกินไป

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้ว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มความสุข สนุกสนาน แต่ข้อเสียของก็ส่งผลเสียร้ายแรงต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นควรดื่มแต่พอประมาณ พอดี ไม่หักโหมจนเกินไปเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายร้ายแรง



เตรียมพร้อมก่อนปาร์ตี้

  1. อย่าปล่อยให้ท้องว่าง
            แอลกอฮอล์ดูดซึมได้มากสุดที่ส่วนต้นของลำไส้เล็ก การดูดซึมจะถูกกระตุ้นให้รวดเร็วขึ้นได้หากท้องว่างหรือมีการดื่มพร้อมกับเครื่องดื่มน้ำอัดลมหรือโซดา ขณะที่ท้องว่างแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมผ่านเยื่อบุกระเพาะอาหารเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง จึงทำให้เมาและง่วงซึมได้ไว

        2. ทานน้ำผักผลไม้หรือวิตามินบีรวมเพื่อลดการสูญเสียวิตามิน

             ฮอร์โมนและเอนไซม์หลายชนิดถูกยับยั้งด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ที่สำคัญคือ ฮอร์โมน Antidiuretic (ADH) ที่ควบคุมไตให้ดูดน้ำกลับ เมื่อฮอร์โมน ADH ถูกยับยั้งทำให้ไตไม่ดูดน้ำกลับ เราจึงปัสสาวะบ่อยขึ้น ทำให้ยิ่งสูญเสียน้ำและเกลือแร่จำนวนมากจนมีอาการอ่อนเพลียได้ การขาดวิตามินที่พบมากหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ คือ วิตามินเอ บี1 บี3 บี6 โฟเลท วิตามินอี และแร่ธาตุซีลีเนียม

        3. ดื่มน้ำตามทุก 1 ชั่วโมง

             จากเหตุผลในข้อ 2 ที่เราต้องทดแทนน้ำที่เสียไปจากปัสสาวะ และลดความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ให้มากจนเกินไป

        4. ดื่มมากไป ตัดสินใจผิดพลาด

             แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนที่ควบคุมการตัดสินใจผิดถูก ส่วนที่คอยยับยั้งการกระทำที่เจ้าตัวคิดว่าไม่ถูกไม่ควรทั้งหลายไว้ เมื่อส่วนนี้โดนกดไว้ อาจเห็นหลายคนมีพฤติกรรมที่คึกคะนอง กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ หรือสิ่งที่อาจเก็บกดไว้ออกมา ดังนั้นจึงควรดื่มพอประมาณ

        5. ดื่มพอประมาณ

             ทางการแพทย์ให้ผู้ชายดื่มแอลกอฮอล์ได้ไม่เกิน 3 หน่วยต่อวัน ผู้หญิงได้ไม่เกิน 2 หน่วยต่อวัน ในรายที่พบว่าไม่มีโรคตับ (ปริมาณแอลกอฮอล์ 1 หน่วย = การดื่มแอลกอฮอล์ 12 – 15 กรัม เช่น ไวน์ 120 ซีซี, เบียร์ 360 ซีซี, วิสกี้หรือวอดก้า 30 ซีซี)

        6. ดื่มบ่อย โรคตับถามหา

             อวัยวะที่รับบทหนักในการกำจัดแอลกอฮอล์ในร่างกายคือตับ เซลล์ตับจะผลิตเอนไซม์เพื่อเปลี่ยนแอลกอฮอล์ไปเป็นอะเซทัลดีไฮด์ และเปลี่ยนเป็นกรดอะซิติก และอะเซทิลโคเอ ตามลำดับ ซึ่งสามารถเข้าสู่เมแทบอลิซึมต่อให้ได้พลังงานและน้ำ ตราบใดที่เรายังดื่มไม่หยุด ตับจะยังคงทำงานย่อยสลายแอลกอฮอล์ไม่หยุดเช่นกัน จนตับละเลยหน้าที่สลายกรดไขมัน การกำจัดสารพิษอื่นๆ ผลคือ เกิดการคั่งไขมันที่ตับ (fatty liver) รวมทั้งสารพิษต่างที่ร่างกายได้รับมา จนอาจนำไปสู่ตับอักเสบ พังผืดที่ตับ ในที่สุด ก็จะกลายเป็นตับแข็ง

        7. ดื่มมาก เสี่ยงเกาต์

             แอลกอฮอล์ทำให้กรดไพรูวิกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกมากขึ้น เกิดกรดแลคติกคั่งในเลือด เลือดมีความเป็นกรดสูง ร่างกายพยายามขับกรดแลคติกออก จึงมีการแข่งขันกับการขับกรดยูริก ทำให้กรดยูริกขับออกได้น้อยลง ซึ่งมีผลตามมาให้กรดยูริกคั่งและเสี่ยงโรคเกาต์ตามมา

ฟื้นฟูหลังปาร์ตี้

               หลังปาร์ตี้อันหนักหน่วง หลายคนจะมีอาการเมาค้าง เพราะร่างกายนำ อะเซทัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารพิษรุนแรงต่อร่างกายไปย่อยเป็นกรดอะซิติกไม่ทัน นำมาสู่อาการอันไม่พึงประสงค์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นหลังจากสร่างเมาแล้ว เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ เสียการทรงตัว หิวน้ำ ปากแห้ง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว เราจึงขอเสนอวิธีแก้เบื้องต้นดังนี้

  1. ดื่มน้ำให้มาก หรือหาอาหารรองท้อง จะช่วยลดอาการเมาค้างได้
  2. หากมีอาการปวดศีรษะ สามารถรับประทานทานยาแก้ปวด ลดไข้ได้
  3. หากมีอาการคลื่นไส้ สามารถรับประทานทานน้ำขิงอุ่นๆ หรือชาเปปเปอร์มินต์ จะช่วยลดอาการนี้ได้
  4. เติมวิตามินแร่ธาตุให้ร่างกาย จากน้ำผักผลไม้ วิตามินบีรวม หรือวิตามินรวม
  5. เพิ่มการสร้างกลูตาไธโอนในตับ ด้วย สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากดอกมิลค์ทิสเทิล กรดอะมิโนเอ็นอะซิติลซีสเทอีน อะโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง เพื่อฟื้นฟูเซลล์ตับและเร่งการกำจัดสารตกค้างที่ทำให้มีอาการเมาค้าง
  6.  หากง่วง สามารถดื่มกาแฟได้ เพราะคาเฟอีนในกาแฟทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น


ข้อมูลโดย
พญ.ชนาภา ภัทรฐิตินันท์
พญ.ชนาภา ภัทรฐิตินันท์
แพทย์เฉพาะทางชำนาญการด้าน
อายุรศาสตร์
แพทย์ประจำแผนก อายุรกรรม
นพ.พิทวัส แซ่ซือ
นพ.พิทวัส แซ่ซือ
อายุรศาสตร์
นพ.พงศกร บุรพัฒน์
นพ.พงศกร บุรพัฒน์
อายุรแพทย์ อนุสาขาอายุรศาสตร์
นพ.อรรณพ บุญยอด
นพ.อรรณพ บุญยอด
อายุรศาสตร์
พญ.ธนันดา ตระการวนิช
พญ.ธนันดา ตระการวนิช
อนุสาขาอายุรศาสตร์โรคไต
นพ.พันเลิศ ตันยากุล
นพ.พันเลิศ ตันยากุล
อายุรศาสตร์โรคเลือด
พญ.ชนาภา ภัทรฐิตินันท์
พญ.ชนาภา ภัทรฐิตินันท์
อายุรศาสตร์
พญ.อภิสรา ไกรลาศรัตนศิริ
พญ.อภิสรา ไกรลาศรัตนศิริ
อายุรศาสตร์
รศ.นพ. พรเทพ อังศุวัชรากร
รศ.นพ. พรเทพ อังศุวัชรากร
อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร
นพ.เอกพล อัจฉริยะประสิทธิ์
นพ.เอกพล อัจฉริยะประสิทธิ์
อายุรแพทย์ อนุสาขาอายุรศาสตร์โรคเลือด

บทความทางการแพทย์

Title Line
หน้าปก web : บทความ 5 วิตามินที่คนไทยขาดบ่อยที่สุด
ตรวจสุขภาพ
5 วิตามินที่คนไทยขาดบ่อยที่สุด

ให้ความรู้เกี่ยวกับ 5 วิตามินที่คนไทยขาดบ่อยที่สุด ใครควรเสริมวิตามิน และคำแนะนำเพิ่มเติม

สาขากรุงเทพมหานคร ราชพฤกษ์
หน้าปกบทความนอนไม่หลับแค่เครียด หรือร่างกายกำลังรวน
ตรวจสุขภาพ
นอนไม่หลับ...แค่เครียด หรือร่างกายกำลังรวน

อาการนอนไม่หลับอาจไม่ใช่แค่ความเครียด แต่อาจเป็นสัญญาณของภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล ลำไส้เสียสมดุล หรือระบบประสาทอักเสบ รู้เท่าทันแนวทางฟื้นฟูการนอนในมุมมองอายุรวัฒน์

สาขากรุงเทพมหานคร ราชพฤกษ์
หน้าปกบทความ 4 ฮอร์โมนสำคัญที่เสื่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น และส่งผลต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด
ตรวจสุขภาพ
4 ฮอร์โมนสำคัญที่เสื่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น และส่งผลต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด

รู้จัก 4 ฮอร์โมนที่ลดลงตามวัย เช่น เมลาโทนิน เทสโทสเตอโรน เอสโตรเจน และฮอร์โมนการเจริญเติบโต ที่มีผลต่อการนอน ความแข็งแรง และสุขภาพโดยรวม

สาขากรุงเทพมหานคร ราชพฤกษ์
facebook messenger iconline icon
โรงพยาบาลศรีสวรรค์