หลังปาร์ตี้ปีใหม่ ฟื้นฟูร่างกายยังไง ไม่ให้อ่อนเพลีย
วันที่เผยแพร่: 1 มกราคม 2568
วันที่เผยแพร่: 1 มกราคม 2568
ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ (alcohol poisoning) คือ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดในปริมาณมากและดื่มแบบรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ตับไม่สามารถขับสารนี้ออกจากเลือดได้ทัน ระบบการทำงานของร่างกายรวนจนเกิดภาวะช็อกที่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้
การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดจนมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษขึ้นอยู่กับปัจจัย ดังนี้
การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากในระยะเวลาที่สั้นและเร็ว ทำให้ตับขับแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือดไม่ทันจนเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ
20 – 49 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ | อารมณ์ดี ผ่อนคลาย และการตัดสินใจช้าลงเล็กน้อย | |
50 – 99 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ | เริ่มเสียการทรงตัว ควบคุมตัวเองได้น้อยลง และตอบสนองช้าลง | |
100 – 199 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ | เดินเซ กล้ามเนื้อทำงานไม่สัมพันธ์กัน | |
200 – 299 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ | คลื่นไส้ อาเจียน การรับรู้ลดลง และจำเหตุการณ์ไม่ได้ | |
300 – 399 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ | หมดสติ ชีพจรลดลง และอุณหภูมิร่างกายลดลง | |
มากกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ | มีโอกาสหยุดหายใจและเสียชีวิตได้ |
การตอบสนองต่อระดับแอลกอฮอล์อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล แม้ระดับจะน้อยกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็อาจเสี่ยงจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรือการนอนหลับลึกในท่าผิดปกติที่อุดกั้นทางเดินหายใจได้ เช่น การนอนคอพาดกับระเบียงจนกดทางเดินหายใจ
ผลกระทบต่อร่างกายจากการดื่มแอลกอฮอล์
- หัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ ไม่แข็งแรง เกิดหัวใจวายได้ง่าย
- ตับ เกิดโรคตับแข็ง ตับที่ถูกทำลายจากแอลกอฮอล์จะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดี เช่น การย่อยสลายสารอาหารหรือการเปลี่ยนแปลงของยาที่รับประทานเข้าไป บางรายอาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง หรืออาเจียนเป็นเลือด
- ผิวหน้า หลอดเลือดขยายตัว ผิวหน้าจะเป็นสีแดงเรื่อ ๆ ทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนออกจากทางผิวหน้า บางครั้งอาจเกิดอาการหนาวสั่นหรือเกิดโรคปอดบวมได้ง่ายในฤดูหนาว
- สมอง แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดการทำงานของสมองจะทำให้ความจำเสื่อม การตัดสินใจไม่ดี สมาธิเสีย โกรธง่าย พูดช้าลง สายตาพร่ามัว และเสียการทรงตัว
- กระเพาะอาหารอักเสบฉับพลันบางครั้งทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะอาหาร
- ระบบสืบพันธุ์ - เพศชายเกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ , ผู้หญิงตั้งครรภ์จะมีผลต่อทารกทั้งทางร่างกายและจิตใจ
- เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งช่องปากและลำคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านม
ดื่มอย่างไรถึงจะปลอดภัย
- รับประทานอาหารรองท้องก่อนดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมได้เร็วเมื่อท้องว่าง
- ไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแบบแก้วต่อแก้วหรือดื่มครั้งละมาก ๆ
- เมื่อเริ่มมีอาการมึนศีรษะให้ลดปริมาณการดื่มหรือหยุดดื่มทันที
- อย่าดื่มจนเมาเกินไป
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้ว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มความสุข สนุกสนาน แต่ข้อเสียของก็ส่งผลเสียร้ายแรงต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นควรดื่มแต่พอประมาณ พอดี ไม่หักโหมจนเกินไปเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายร้ายแรง
เตรียมพร้อมก่อนปาร์ตี้
- อย่าปล่อยให้ท้องว่าง
แอลกอฮอล์ดูดซึมได้มากสุดที่ส่วนต้นของลำไส้เล็ก การดูดซึมจะถูกกระตุ้นให้รวดเร็วขึ้นได้หากท้องว่างหรือมีการดื่มพร้อมกับเครื่องดื่มน้ำอัดลมหรือโซดา ขณะที่ท้องว่างแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมผ่านเยื่อบุกระเพาะอาหารเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง จึงทำให้เมาและง่วงซึมได้ไว
2. ทานน้ำผักผลไม้หรือวิตามินบีรวมเพื่อลดการสูญเสียวิตามิน
ฮอร์โมนและเอนไซม์หลายชนิดถูกยับยั้งด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ที่สำคัญคือ ฮอร์โมน Antidiuretic (ADH) ที่ควบคุมไตให้ดูดน้ำกลับ เมื่อฮอร์โมน ADH ถูกยับยั้งทำให้ไตไม่ดูดน้ำกลับ เราจึงปัสสาวะบ่อยขึ้น ทำให้ยิ่งสูญเสียน้ำและเกลือแร่จำนวนมากจนมีอาการอ่อนเพลียได้ การขาดวิตามินที่พบมากหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ คือ วิตามินเอ บี1 บี3 บี6 โฟเลท วิตามินอี และแร่ธาตุซีลีเนียม
3. ดื่มน้ำตามทุก 1 ชั่วโมง
จากเหตุผลในข้อ 2 ที่เราต้องทดแทนน้ำที่เสียไปจากปัสสาวะ และลดความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ให้มากจนเกินไป
4. ดื่มมากไป ตัดสินใจผิดพลาด
แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนที่ควบคุมการตัดสินใจผิดถูก ส่วนที่คอยยับยั้งการกระทำที่เจ้าตัวคิดว่าไม่ถูกไม่ควรทั้งหลายไว้ เมื่อส่วนนี้โดนกดไว้ อาจเห็นหลายคนมีพฤติกรรมที่คึกคะนอง กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ หรือสิ่งที่อาจเก็บกดไว้ออกมา ดังนั้นจึงควรดื่มพอประมาณ
5. ดื่มพอประมาณ
ทางการแพทย์ให้ผู้ชายดื่มแอลกอฮอล์ได้ไม่เกิน 3 หน่วยต่อวัน ผู้หญิงได้ไม่เกิน 2 หน่วยต่อวัน ในรายที่พบว่าไม่มีโรคตับ (ปริมาณแอลกอฮอล์ 1 หน่วย = การดื่มแอลกอฮอล์ 12 – 15 กรัม เช่น ไวน์ 120 ซีซี, เบียร์ 360 ซีซี, วิสกี้หรือวอดก้า 30 ซีซี)
6. ดื่มบ่อย โรคตับถามหา
อวัยวะที่รับบทหนักในการกำจัดแอลกอฮอล์ในร่างกายคือตับ เซลล์ตับจะผลิตเอนไซม์เพื่อเปลี่ยนแอลกอฮอล์ไปเป็นอะเซทัลดีไฮด์ และเปลี่ยนเป็นกรดอะซิติก และอะเซทิลโคเอ ตามลำดับ ซึ่งสามารถเข้าสู่เมแทบอลิซึมต่อให้ได้พลังงานและน้ำ ตราบใดที่เรายังดื่มไม่หยุด ตับจะยังคงทำงานย่อยสลายแอลกอฮอล์ไม่หยุดเช่นกัน จนตับละเลยหน้าที่สลายกรดไขมัน การกำจัดสารพิษอื่นๆ ผลคือ เกิดการคั่งไขมันที่ตับ (fatty liver) รวมทั้งสารพิษต่างที่ร่างกายได้รับมา จนอาจนำไปสู่ตับอักเสบ พังผืดที่ตับ ในที่สุด ก็จะกลายเป็นตับแข็ง
7. ดื่มมาก เสี่ยงเกาต์
แอลกอฮอล์ทำให้กรดไพรูวิกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกมากขึ้น เกิดกรดแลคติกคั่งในเลือด เลือดมีความเป็นกรดสูง ร่างกายพยายามขับกรดแลคติกออก จึงมีการแข่งขันกับการขับกรดยูริก ทำให้กรดยูริกขับออกได้น้อยลง ซึ่งมีผลตามมาให้กรดยูริกคั่งและเสี่ยงโรคเกาต์ตามมาฟื้นฟูหลังปาร์ตี้
หลังปาร์ตี้อันหนักหน่วง หลายคนจะมีอาการเมาค้าง เพราะร่างกายนำ อะเซทัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารพิษรุนแรงต่อร่างกายไปย่อยเป็นกรดอะซิติกไม่ทัน นำมาสู่อาการอันไม่พึงประสงค์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นหลังจากสร่างเมาแล้ว เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ เสียการทรงตัว หิวน้ำ ปากแห้ง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว เราจึงขอเสนอวิธีแก้เบื้องต้นดังนี้
- ดื่มน้ำให้มาก หรือหาอาหารรองท้อง จะช่วยลดอาการเมาค้างได้
- หากมีอาการปวดศีรษะ สามารถรับประทานทานยาแก้ปวด ลดไข้ได้
- หากมีอาการคลื่นไส้ สามารถรับประทานทานน้ำขิงอุ่นๆ หรือชาเปปเปอร์มินต์ จะช่วยลดอาการนี้ได้
- เติมวิตามินแร่ธาตุให้ร่างกาย จากน้ำผักผลไม้ วิตามินบีรวม หรือวิตามินรวม
- เพิ่มการสร้างกลูตาไธโอนในตับ ด้วย สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากดอกมิลค์ทิสเทิล กรดอะมิโนเอ็นอะซิติลซีสเทอีน อะโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง เพื่อฟื้นฟูเซลล์ตับและเร่งการกำจัดสารตกค้างที่ทำให้มีอาการเมาค้าง
- หากง่วง สามารถดื่มกาแฟได้ เพราะคาเฟอีนในกาแฟทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น