Back to School วัคซีนครบ สุขภาพพร้อม เรียนรู้ได้เต็มที่
การเปิดเทอมใกล้เข้ามาแล้ว หลายครอบครัวคงเริ่มเตรียมตัวเรื่องเครื่องเขียน ชุดนักเรียน หรือการปรับเวลานอนของลูกน้อยกันอย่างขะมักเขม้น แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันและควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือ การเตรียมสุขภาพลูกก่อนเปิดเทอม โดยเฉพาะ การฉีดวัคซีนที่จำเป็นก่อนกลับเข้าโรงเรียน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงการติดเชื้อในสังคมโรงเรียนที่มีเด็กอยู่รวมกันจำนวนมาก
ทำไมการฉีดวัคซีนก่อนเปิดเทอมจึงสำคัญ?
เมื่อเด็ก ๆ เข้าโรงเรียน ต้องพบเจอกับผู้คนหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คุณครู ผู้ปกครองจากหลาย ๆ ครอบครัว ระหว่างอยู่ในโรงเรียน ต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมายเพื่อเรียนรู้ ดังนั้นการที่เด็ก ๆ มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ เป็นพื้นฐานให้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ เด็กที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์จะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยหนัก และลดการระบาดของโรคติดต่อที่โรงเรียนได้
วัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันเด็กวัยเรียน
เด็กวัยเรียนทุกคนควรได้รับวัคซีนพื้นฐานเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งได้แก่วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน วัคซีนโปลิโอ วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม วัคซีนไข้สมองอักเสบ วัคซีนวัณโรค วัคซีนตับอักเสบบี นอกจากนี้วัคซีนเสริมยังเป็นทางเลือกและมีคำแนะนำให้เด็กวัยเรียนได้รับวัคซีนเพื่อช่วงป้องกันและลดความรุนแรงของโรคได้ วัคซีนดังกล่าวประกอบด้วย
- วัคซีนตับอักเสบบี (HBV) ฉีดตั้งแต่แรกเกิดและ 1-2 เดือน 6 เดือน ตามลำดับ
- วัคซีนวัณโรค (BCG) ฉีดเมื่อแรกคลอด ส่วนมากฉีดที่โรงพยาบาลก่อนกลับบ้าน
- วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DPT) ฉีดตามช่วงอายุตั้งแต่ 2, 4 และ 6 เดือน และฉีดกระตุ้นอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน , 4-6 ปี และ 11-12 ปี
- วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR) ควรฉีดตามช่วงอายุคือ 9-12 เดือนและกระตุ้นอายุ 1 ปี 6 เดือน
- วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE) ควรฉีดตามช่วงอายุคือ 9-12 เดือนและกระตุ้นอายุ 2 ปี
- วัคซีนโรต้า วัคซีนเสริมป้องกันโรคอุจาระร่วง ปัจจุบันวัคซีโรต้าอยู่ในรูปแบบรับประทาน มี 2 ชนิดตามสายพันธุ์ที่ใช้ในการผลิตวัคซีน คือ Monovalent (Human) 2 ครั้ง เมื่ออายุประมาณ 2 และ 4 เดือน และชนิด Pentavalent (Bovine- Human) 3 ครั้ง เมื่ออายุประมาณ 2,4,6 เดือน
- วัคซีนนิวโมคอคคัส (IPD) เป็นวัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส หรือ Pneumoniae ซึ่งก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ในเด็กเล็กโดยพบมาก นอกจากนั้นยังเป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรงได้ โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กที่อายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์เป็นต้นไป
- วัคซีนฮิบ (Haemophilus Influenzae type b) โรคฮิบ ก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคปอดอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคไซนัสและโรคหูชั้นกลางอักเสบ ควรฉีดวัคซีนฮิบตามช่วงอายุตั้งแต่ 2, 4 และ 6 เดือน และฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน
- วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ควรฉีดในเด็กตามช่วงอายุทั้งหมด 2 เข็ม เข็มแรกได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป หากยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส แนะนำให้ฉีดครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี หรืออย่างน้อยห่างจากเข็มแรก 3 เดือน หากอายุเกิน 13 ปี ควรฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 4-8 สัปดาห์
- วัคซีนตับอักเสบสายพันธุ์เอ ชนิดเชื้อตาย ฉีดช่วงอายุ 1 ปีขึ้นไป ฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน หากเป็นชนิดเชื้อเป็น ฉีดช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน เป็นต้นไป
- วัคซีนไข้เลือดออก live-attenuated recombinant dengue2-dengue (Qdenga) ฉีดได้ในผู้ที่มีอายุ 4 ปีเป็นต้นไป โดยฉีดเข้าใต้ผิวหนัง 2 เข็ม เว้นห่างกัน 3 เดือน ทั้งนี้ สามารถฉีดได้ทั้งในผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อนได้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนการฉีดวัคซีน
- วัคซีนเสริมไข้หวัดใหญ่ เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ฉีดปีละ 1 ครั้ง เมื่อเริ่ม เข้าสู่หน้าฝน หรือเริ่มเข้าสู่หน้าหนาว เด็กอายุน้อยกว่า 9 ปี ที่ได้รับวัคซีนเป็นครั้งแรก ให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน
ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการเตรียมตัว
- ตรวจสอบสมุดวัคซีนของลูก ว่าได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์หรือไม่
- ปรึกษากุมารแพทย์ เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนให้เหมาะสมกับวัยและสุขภาพของลูก
- หลีกเลี่ยงการเลื่อนนัดฉีดวัคซีน เพราะภูมิคุ้มกันอาจลดลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ส่งเสริมสุขอนามัยพื้นฐาน เช่น การล้างมือก่อน-หลังรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
การฉีดวัคซีนก่อนเปิดเทอมเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการเตรียมความพร้อมให้ลูกน้อย ก่อนกลับไปใช้ชีวิตในสังคมโรงเรียนอย่างปลอดภัย พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรใส่ใจและให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเตรียมหนังสือหรือเสื้อผ้าใหม่ ๆ เพื่อให้การกลับไปโรงเรียนครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น และสุขภาพแข็งแรงตลอดปีการศึกษา