ทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปี
วันที่เผยแพร่: 20 พฤษภาคม 2568
วันที่เผยแพร่: 20 พฤษภาคม 2568
จากสถิติในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเผยว่า มีคนไทยเพียง 2% เท่านั้นที่ ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และมีคนถึง 59% ที่คิดว่าตนเองมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพประจำปี แต่ว่าหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดีอย่างการกินอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างที่เคยบอกต่อๆกันมาอาจไม่พอ การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นก้าวแรกของการป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพเชิงรุก
ควรตรวจสุขภาพตอนอายุเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าเราจะเข้าใจถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพประจำปีแล้ว แต่ก็ยังคงมีประเด็นคำถามที่ว่า “แล้วเราควรตรวจสุขภาพตอนอายุเท่าไหร่?”
แท้ที่จริงแล้ว การตรวจสุขภาพครั้งแรกสามารถทำได้ตั้งแต่วัยแรกเกิดเป็นต้นไป เพราะหากสามารถตรวจได้ตั้งแต่แรกเกิดจะสามารถค้นหาความเสี่ยงของเรื่องโรคต่างๆ รวมทั้งด้านพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตได้นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพของแต่ละช่วงวัย ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน โดยช่วงอายุที่ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ควรมีอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่โรคต่างๆเริ่มแสดงอาการ ซึ่งมีโอกาสเจ็บป่วยได้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่หากเราตรวจสุขภาพเป็นประจำ โรคที่พบอาจอยู่ในระยะแรกๆ ที่สามารถรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็ว มีระยะการฟื้นตัวที่ไม่นาน![]()
เมื่อการตรวจสุขภาพสำคัญจริงๆ เราจะเริ่มตรวจจากอะไรก่อนดี ?การเลือกว่าจะตรวจสุขภาพอะไรบ้างนั้น สามารถแบ่งองค์ประกอบได้ตาม อายุ เพศ และการประเมินความเสี่ยงของตนเอง หรือความเจ็บป่วยทางกรรมพันธุ์ของครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งศูนย์ตรวจสุขภาพโรงพยาบาลศรีสวรรค์ ราชพฤกษ์ ได้จัดโปรแกรมตรวจสุขภาพเพื่อให้ตรงตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ และเพศ รวมทั้งโปรแกรมการตรวจสุขภาพเพื่อค้นหาความเสี่ยงเพิ่มเติม ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล สามารถขอรับคำปรึกษาเพิ่มเติมหากต้องการตรวจเจาะลึกเฉพาะทางด้านอื่นๆ ตามความเสี่ยง พร้อมให้คำปรึกษาหากพบความผิดปกติ เพื่อรับการรักษาภายหลังผลการตรวจออก รวมทั้งคำแนะนำเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลเพื่อให้คุณมีสุขภาพที่ดีอย่างยาวนานการตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐาน ตรวจอะไรกันบ้าง
- Complete Blood Count (CBC) การตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด คือการตรวจนับปริมาณเม็ดเลือดแดง ดูรูปร่าง และขนาดของเม็ดเลือดแดง เพื่อบ่งชี้ภาวะโลหิตจาง การตรวจนับปริมาณ และชนิดของเม็ดเลือดขาว เพื่อดูภาวะการติดเชื้อ และความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นสัญญาณนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว รวมถึงการตรวจนับปริมาณเกล็ดเลือด ซึ่งมีหน้าที่หยุดการไหลของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล
- Fasting Blood Sugar (FBS) คือ การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หลังงดน้ำ งดอาหาร เพื่อคัดกรองความเสี่ยงน้ำตาลในเลือดที่นำไปสู่การคัดกรองต่อถึงโรคเบาหวาน
- Hemoglobin A1c (HbA1c) คือ การตรวจระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด ในช่วง2-3เดือนที่ผ่านมา โดยการวัดปริมาณน้ำตาลที่มากเกินความต้องการของร่างกาย และไปจับกับโปรตีนในเม็ดเลือดแดง เพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน และประเมินการควบคุมน้ำตาลหลังการรักษาของผู้เป็นเบาหวาน
- Total cholesterol คือ การตรวจวัดระดับไขมันคอเลสเตอรอลรวม ไม่สามารถแปลผลได้โดยตรง เพราะระดับคอเลสเตอรอลรวมสูง อาจเกิดจากระดับไขมันชนิดไม่ดีสูง หรือชนิดดีสูงก็ได้ คอเลสเตอรอลในอาหารพบมากในไข่แดง อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ติดมัน นม และผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันสูง
- LDL–cholesterol คือ ไขมันคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี เป็นไขมันที่ไปเกาะสะสมตามผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็ง และตีบได้ ส่งผลต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
- HDL–cholesterol คือ ไขมันคอเลสเตอรอลชนิดดี ช่วยลดการสะสมของไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือด โดย HDL ทำหน้าที่นำเอาคอเลสเตอรอลจากเนื้อเยื่อต่างๆ ไปทำลายที่ตับและขับออกจากร่างกาย HDLจึงมีบทบาทในการช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
- Triglyceride คือ ไขมันไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งทำหน้าที่สะสมพลังงานจากอาหารที่เราทานเข้าไป หากมีปริมาณมากเกินไปจะสะสมในร่างกาย และเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้หลอดเลือดแข็ง นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง สาเหตุที่ทำให้ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง มาจากการรับประทานประเภทแป้ง และน้ำตาลมากเกินไป ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- High sensitivity C–Reactive Protein (hs–CRP) คือ การตรวจหาระดับโปรตีน CRP แบบที่มีความไวสูง ตรวจพบได้แม้จะมีปริมาณ CRP ต่ำ โดย CRP เกิดจากกลไกการอักเสบระดับเซลล์ในร่างกาย จึงถูกนำมาใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ได้แก่ ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
- Uric acid คือ การตรวจวัดระดับกรดยูริกในเลือด ที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ เช่น โรคเกาท์ นิ่วทางเดินปัสสาวะ โดยสาเหตุที่ทำให้กรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม การบริโภคอาหารที่มีสารพิวรีนสูง ได้แก่ สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก และแอลกอฮอล์
- Blood Urea Nitrogen (BUN) คือ การตรวจวัดระดับปริมาณของเสียในร่างกาย กรณีที่ร่างกายปกติจะสามารถขับออกไปได้ หากการทำงานของไตผิดปกติก็จะเกิดการตกค้างของเสียเหล่านี้ในร่างกาย ทำให้ค่า BUN สูง ซึ่งบ่งบอกถึงการทำงานของไตที่ผิดปกติ
- Creatinine (Cr) คือ การวัดระดับค่าของครีเอตินิน ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากกล้ามเนื้อ และขับออกจากร่างกายทางไต หากค่านี้สูงโดยที่ไม่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อ ก็หมายถึงการทำงานของไตผิดปกติ
- ตรวจการทำงานของตับ (Alanine aminotransferase : ALT) คือ การตรวจค่าเอนไซม์ ALT ในร่างกาย หากมีการทำลาย หรือการอักเสบของตับ จะมีการหลั่งเอนไซม์นี้ออกจากตับสู่กระแสเลือดมากขึ้น โดย ALT พบได้มากในตับและไต พบได้น้อยในกล้ามเนื้อ หัวใจ และตับอ่อน
- ตรวจการทำงานของตับ (Aspartate aminotransferase : AST) คือ การตรวจค่าเอนไซม์ ASTในร่างกาย โดย AST พบได้ในตับ ไต และเนื้อเยื่ออื่นๆ ค่า AST สูงพบได้ในโรคหัวใจ โรคตับอักเสบจากการดื่มสุรา การออกกำลังกายมากเกินไป
- Alkaline Phosphatase (ALP) เป็นเอนไซม์ที่พบได้มากในตับ ทางเดินน้ำดี กระดูก ลำไส้เล็ก หากอวัยวะเหล่านี้ผิดปกติ หรือมีโรคใดๆ ที่กระทบ ย่อมส่งผลให้ค่า ALP สูงได้
- การตรวจหาเชื้อและภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบ เอ, บี, ซี (Viral hepatitis profile) คือ การตรวจคัดกรองหาภาวะการติดเชื้อ และระดับของภูมิคุ้มกันต่อโรค ซึ่งลดความเสี่ยงต่อการอักเสบของตับเรื้อรัง ที่จะนำไปสู่โรคมะเร็งตับในอนาคต
การตรวจสุขภาพเฉพาะทาง มีอะไรบ้าง ?
การตรวจสุขภาพแบบเฉพาะทางส่วนใหญ่จะตรวจตามความเสี่ยง โดยมีปัจจัย เช่น ช่วงอายุ ประวัติทางพันธุกรรม หรือมีอาการผิดปกติ โดยมีการตรวจ เช่น ตรวจระดับค่าสารบ่งชี้มะเร็ง การตรวจทางรังสีวิทยา
การตรวจหาค่าสารบ่งชี้มะเร็งมีดังต่อไปนี้
Alpha–Fetoprotein (AFP) คือ การตรวจเพื่อคัดกรองโรคมะเร็ง หากพบว่าค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ก็ควรต้องตรวจโดยละเอียดกับแพทย์เฉพาะทางโรคทางเดินอาหารและตับอีกครั้ง Carcinoembrionic Antigen (CEA) คือ การตรวจเพื่อคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ อาจพบค่าสูงขึ้นได้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตับ ตับอ่อน และสามารถพบได้ในผู้ที่สูบบุหรี่จัดเป็นเวลานาน หากพบค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จำเป็นต้องทำการตรวจโดยละเอียด เช่น การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ Prostate–Specific Antigen (PSA) คือ การตรวจเพื่อคัดกรองโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก อาจพบว่ามีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ในผู้ที่มีต่อมลูกหมากอักเสบ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การใช้ยาบางชนิด ควรทำการตรวจในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และตรวจเป็นประจำทุกปี Cancer Antigen–125 (CA–125) คือ การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งรังไข่ อาจพบว่ามีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานในผู้ที่มีถุงน้ำรังไข่ ก้อนที่รังไข่ การอักเสบในอุ้งเชิงกราน หากค่าสูงก็ควรจะต้องตรวจโดยละเอียดกับสูตินรีแพทย์อีกครั้ง Cancer Antigen–153 (CA 15–3) คือ การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งเต้านม มักใช้ในการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมที่มีการแพร่กระจาย และการกลับมาเป็นใหม่ รวมทั้งติดตามการรักษา ไม่นิยมใช้คัดกรองในระยะแรกของโรค โดยการตรวจที่ได้ผลดี และได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือ การตรวจเอกซเรย์ และอัลตราซาวน์เต้านม (mammogram) Cancer Antigen 19–9 (CA 19–9) คือ การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งระบบทางเดินอาหาร เช่น ตับอ่อน ท่อน้ำดี ไม่แนะนำใช้ในการคัดกรองโรคมะเร็งตับอ่อน เนื่องจากความไวของค่า CA19-9 ในการตรวจยังน้อย แต่ใช้ในการตรวจติดตามการรักษา หากตรวจพบระดับค่าบ่งชี้สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ก็ควรจะต้องตรวจโดยละเอียดกับแพทย์เฉพาะทางโรคทางเดินอาหารและตับอีกครั้ง การตรวจวินิจฉัยด้านอื่นๆ
Electrocardiogram (ECG) คือ การตรวจสัญญาณคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ เพื่อช่วยในการค้นหาความผิดปกติเบื้องต้นของหัวใจ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หากพบความผิดปกติ ควรจะต้องตรวจโดยละเอียดกับแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ Chest x–ray (CXR) คือ การตรวจเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อดูว่ามีก้อน หรือจุดผิดปกติในปอด หรือไม่ สามารถดูขนาดของหัวใจ ความผิดปกติของเยื่อหุ้มปอด และกระดูกซี่โครง แต่สำหรับมะเร็งปอด การตรวจเอกซเรย์ทรวงอกอาจตรวจไม่พบ เนื่องจากมีข้อจำกัดของการเอกซเรย์ หากสงสัยควรทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม เพื่อความแม่นยำต่อการวินิจฉัย Ultrasound Abdomen คือ การตรวจอัลตราซาวน์ช่องท้อง เพื่อหาความผิดปกติ และโรคของอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ไขมันพอกตับ นิ่วถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วที่ไต ต่อมลูกหมากโต ความผิดปกติของก้อน และถุงน้ำในอวัยวะต่างๆ รวมทั้งมดลูก รังไข่ อย่างไรก็ตาม การอัลตราซาวน์ช่องท้องมีข้อจำกัดในบางอวัยวะ เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ หากต้องการความแม่นยำในการตรวจควรรับการส่องกล้องกระเพาะอาหาร และลำไส้ใหญ่เพิ่มเติม Bone Densitometry (BMD) คือ การตรวจค่าความหนาแน่นกระดูก ช่วยให้ทราบว่าสุขภาพของกระดูกมีความแข็งแรงในระดับใด มีภาวะกระดูกพรุน หรือไม่ โดยใช้รังสีเอกซเรย์พลังงานต่ำ แนะนำตรวจในสตรีวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีประวัติกระดูกพรุนในครอบครัว การใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มสุราบ่อย สูบบุหรี่มาก การตรวจสุขภาพประจำปีมีความสำคัญอย่างไร
1. การตรวจสุขภาพช่วยคัดกรองโรคในระยะเริ่มต้น การตรวจสุขภาพประจำปีช่วยให้คุณทราบถึงความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ เช่น
- โรคเบาหวาน ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
- โรคไขมันในเลือดสูง การตรวจค่าไขมันในเลือดชนิดต่างๆ
- โรคหัวใจ การตรวจเพื่อดูค่าเอนไซม์ ของกล้ามเนื้อหัวใจเพื่อดูว่ามีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือไม่ รวมทั้งการวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), การอัลตร้าซาวน์หัวใจ (Echocardiogram), Exercise Stress test (EST) เพื่อประเมินความแข็งแรงของหัวใจขณะออกกำลังกาย ในกรณีที่ผู้รับบริการมีอาการเจ็บหน้าอก เป็นต้น
- โรคความดันโลหิตสูง การตรวจวัดค่าความดันโลหิต
- โรคมะเร็ง ตรวจคัดกรองมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งลำไส้
การตรวจพบในระยะเริ่มต้นช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน และการเสียชีวิตภายหลัง
2. การติดตามสุขภาพในทุกช่วงวัย สุขภาพของเรามีการเปลี่ยนแปลงตามอายุ การตรวจสุขภาพช่วยติดตามความเปลี่ยนแปลงนี้ เช่น
- วัยทำงาน ตรวจระดับไขมันในเลือดและความเครียด
- วัยกลางคน ตรวจฮอร์โมนและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
- ผู้สูงอายุ ตรวจภาวะกระดูกพรุนและสมรรถภาพร่างกาย
3. ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค การตรวจสุขภาพประจำปีช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เพราะการรักษาโรคในระยะแรกมักใช้ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาในระยะที่รุนแรง
4. สร้างความมั่นใจในชีวิตประจำวัน เมื่อคุณทราบว่าสุขภาพของคุณอยู่ในเกณฑ์ดี จะช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การออกกำลังกาย หรือการทำกิจกรรมกับครอบครัว
5. การตรวจสุขภาพช่วยให้คุณมีชีวิตที่ยืนยาว การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญในการมีอายุยืนยาว สุขภาพที่ดีทำให้คุณมีพลังและมีความสุขกับชีวิต
การเตรียมตัวก่อนการตรวจสุขภาพ
ควรได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินสภาวะสุขภาพ และค้นหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น โดยก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพควรเตรียมความพร้อม เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำ ซึ่งควรมีการเตรียมตัว ดังนี้
- ก่อนเข้ารับการตรวจ ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เนื่องจากการนอนไม่พออาจส่งผลต่อความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
- งดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงก่อนตรวจ ทั้งนี้ สามารถจิบน้ำเปล่าได้เล็กน้อย และสามารถรับประทานยาประจำตัว ก่อนตรวจสุขภาพได้ แต่ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับการตรวจทุกครั้ง
- หากมีโรคประจำตัว หรือประวัติตรวจรักษาจากที่อื่น ควรนำเอกสารติดตัวมาด้วย เพื่อใช้ประกอบการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
- งดการสูบบุหรี่ก่อนตรวจสุขภาพ เนื่องจากจะทำให้ความดันโลหิตสูง
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลต่อการตรวจเลือด อาจส่งผลต่อความแม่นยำของผลการตรวจ
- หากสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพ
- โปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับผู้หญิง เช่น การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ แนะนำให้เว้นช่วงตรวจก่อนและหลังมีประจำเดือนประมาณ 7 วัน
- เลือกสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย และสะดวกต่อการเจาะเลือด หรือการตรวจวินิจฉัยอื่นๆ
- สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจหาความเสี่ยงเฉพาะโรค ควรติดต่อเพื่อปรึกษาศูนย์ตรวจสุขภาพก่อน เพื่อรับทราบเกี่ยวกับการเตรียมตัวอย่างครบถ้วนก่อนเข้ารับการตรวจ
- หากโปรแกรมสุขภาพมีการตรวจปัสสาวะ ควรปัสสาวะทิ้งเล็กน้อยก่อน แล้วจึงเก็บปัสสาวะตรงช่วงกลางตามปริมาณที่กำหนด
การเตรียมพร้อมก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพ นอกจากจะต้องเตรียมความพร้อมตามที่กล่าวมา ข้างต้น อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การให้ข้อมูลของตนเองอย่างละเอียดและตรงไปตรงมา เช่น โรคประจำตัว พฤติกรรมการทานอาหาร การใช้ชีวิต ประวัติการรักษาโรคต่างๆ รวมทั้งการรับประทานยาหรืออาหารเสริมต่างๆ เป็นต้น โดยข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะสามารถนำมาวิเคราะห์ผลการตรวจ แนวโน้มการเกิดโรคในอนาคต
ตรวจสุขภาพวันนี้เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้ การตรวจสุขภาพประจำปีไม่ใช่เรื่องยุ่งยากพียงแค่คุณตัดสินใจเริ่มต้น คุณจะได้สุขภาพที่ดีและยืนยาวอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมเลือกสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ อุปกรณ์การตรวจที่ทันสมัย พร้อมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และทีมสหวิชาชีพ ที่พร้อมให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม