แผลในกระเพาะอาหาร (Gastric Ulcer): อาการ การป้องกัน และการรักษา

วันที่เผยแพร่: 20 มีนาคม 2568

gastric-ulcer

แผลในกระเพาะอาหาร (Gastric Ulcer): อาการ การป้องกัน และการรักษา

แผลในกระเพาะอาหารคืออะไร?

แผลในกระเพาะอาหาร หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า โรคแผลเปปติก (Peptic Ulcer Disease) เป็นแผลที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น เมื่อชั้นเยื่อบุถูกทำลายจากกรดในกระเพาะอาหารหรือเอนไซม์ย่อยอาหาร ทำให้เกิดแผลที่อาจมีขนาดตั้งแต่เล็กจนถึงใหญ่หลายเซนติเมตร

แผลในกระเพาะอาหารแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก:

  1. แผลในกระเพาะอาหาร (Gastric Ulcer) - เกิดในกระเพาะอาหาร
  2. แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal Ulcer) - เกิดในลำไส้เล็กส่วนต้น (ดูโอดีนัม)


สาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร

สาเหตุหลักของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารมีดังนี้:

1. การติดเชื้อแบคทีเรีย H. pylori

เชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori หรือ H. pylori) เป็นสาเหตุหลักที่พบได้มากถึง 60-70% ของผู้ป่วยแผลในกระเพาะอาหาร เชื้อแบคทีเรียนี้สามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดสูงในกระเพาะอาหาร และทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร

2. การใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs

ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-Inflammatory Drugs หรือ NSAIDs) เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน นาโพรเซน และ ไดโคลฟีแนค สามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยรองจากการติดเชื้อ H. pylori

3. ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

  • ความเครียด - ความเครียดสูงอาจกระตุ้นให้กระเพาะอาหารผลิตกรดมากขึ้น
  • การสูบบุหรี่ - สารพิษในบุหรี่ทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร
  • การดื่มแอลกอฮอล์ - ระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง
  • ประวัติครอบครัว - มีญาติสายตรงเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
  • อายุที่มากขึ้น - ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงมากกว่า
  • การใช้ยาสเตียรอยด์ - อาจเพิ่มความเสี่ยงโดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ NSAIDs
  • การรักษาด้วยรังสี - อาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารเสียหาย


อาการของแผลในกระเพาะอาหาร

อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร ได้แก่:

อาการที่พบบ่อย

  • ปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ - อาการปวดมักมีลักษณะปวดแสบ ปวดจุก หรือปวดเหมือนถูกบีบ
  • ปวดท้องเวลาท้องว่าง - อาการปวดมักจะดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหาร
  • ปวดท้องกลางดึก - อาการปวดอาจทำให้ตื่นนอนในช่วงกลางคืน
  • ปวดท้องที่เป็นๆ หายๆ - อาการปวดอาจเป็นหลายวันหรือหลายสัปดาห์ แล้วหายไป
  • เรอเปรี้ยว - การมีกรดไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร
  • ท้องอืด แน่นท้อง - รู้สึกอึดอัดที่บริเวณช่องท้อง
  • คลื่นไส้ อาเจียน - อาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด - รับประทานอาหารได้น้อยลง

อาการที่บ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อน

  • อาเจียนเป็นเลือด - อาเจียนออกมาเป็นเลือดสีแดงสด หรือสีดำคล้ายกากกาแฟ
  • อุจจาระสีดำ - อุจจาระมีสีดำคล้ายน้ำมันดิน (melena)
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย - อาจเกิดจากภาวะโลหิตจาง
  • เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง - อาจเกิดจากแผลทะลุ
  • ปวดท้องรุนแรงที่เกิดขึ้นทันที - อาจเกิดจากแผลทะลุผ่านผนังกระเพาะอาหาร


ภาวะแทรกซ้อนของแผลในกระเพาะอาหาร

หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม แผลในกระเพาะอาหารอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้:

  1. เลือดออกในทางเดินอาหาร - แผลที่ลึกใหญ่จนถึงหลอดเลือดทำให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร
  2. แผลทะลุ - แผลที่ใหญ่มากทะลุผนังกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุช่องท้อง
  3. การอุดตันทางเดินอาหาร - แผลเรื้อรังที่บวมมากอาจทำให้เกิดการอุดตันทางเดินอาหาร
  4. มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้ที่มีการติดเชื้อ H. pylori มีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น


การวินิจฉัยแผลในกระเพาะอาหาร

การวินิจฉัยแผลในกระเพาะอาหารอาศัยการตรวจร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ:

การตรวจทางคลินิก

  • ประวัติและอาการทางคลินิก - การซักประวัติเกี่ยวกับอาการ ระยะเวลา และปัจจัยกระตุ้น
  • การตรวจร่างกาย - การกดคลำที่บริเวณใต้ลิ้นปี่ อาจพบอาการกดเจ็บ

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (Gastroscopy) - การตรวจที่แม่นยำที่สุด สามารถมองเห็นแผลได้โดยตรง
  • การตรวจหาเชื้อ H. pylori - มีหลายวิธี เช่น
    • Rapid urease test - การตรวจจากชิ้นเนื้อที่ตัดจากกระเพาะอาหาร
    • Urea breath test - การตรวจโดยการหายใจ
    • การตรวจเลือด - หาแอนติบอดีต่อเชื้อ H. pylori
    • การตรวจอุจจาระ - หาแอนติเจนของเชื้อ H. pylori
  • การตรวจทางรังสีวิทยา - เช่น การตรวจ X-ray ช่องท้อง หรือ CT scan

การรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

การรักษาแผลในกระเพาะอาหารมุ่งเน้นที่การกำจัดสาเหตุและบรรเทาอาการ:

การรักษาที่เกี่ยวข้องกับเชื้อ H. pylori

  • ยาปฏิชีวนะ - เช่น อะม็อกซิซิลลิน คลาริโทรมัยซิน เมโทรนิดาโซล โดยมักใช้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 2 ชนิดร่วมกัน
  • ยาลดการหลั่งกรด - เช่น ยากลุ่ม PPI (Proton Pump Inhibitors) เช่น โอเมพราโซล แลนโซพราโซล เอสโซเมพราโซล
  • ยาปรับสมดุลแบคทีเรีย - เช่น ยาบิสมัท (Bismuth subsalicylate)

การรักษากรณีที่เกิดจาก NSAIDs

  • หยุดหรือลดขนาดยา NSAIDs - หากเป็นไปได้
  • ใช้ยาลดการหลั่งกรด - เช่น ยากลุ่ม PPI หรือ ยากลุ่ม H2 blockers เช่น รานิทิดีน ฟามอทิดีน
  • ใช้ยาเคลือบกระเพาะ - เช่น ซูคราลเฟต (Sucralfate)

การรักษาทั่วไป

  • ยาลดกรด - เช่น อะลูมิเนียม ไฮดรอกไซด์ แมกนีเซียม ไฮดรอกไซด์
  • ยาที่ช่วยเสริมเยื่อบุกระเพาะอาหาร - เช่น มิโซพรอสทอล (Misoprostol)
  • การรักษาภาวะแทรกซ้อน - เช่น การผ่าตัดในกรณีที่มีแผลทะลุหรือเลือดออกรุนแรง


การป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร

การป้องกันแผลในกระเพาะอาหารทำได้โดย:

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

  • ลดความเครียด - ฝึกสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลาย
  • เลิกสูบบุหรี่ - บุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของแผลในกระเพาะอาหารและชะลอการหายของแผล
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์ - แอลกอฮอล์ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคือง - เช่น อาหารรสจัด อาหารมัน เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

การใช้ยาอย่างระมัดระวัง

  • ใช้ยา NSAIDs อย่างระมัดระวัง - ใช้ในขนาดต่ำสุดที่ได้ผลและเป็นระยะเวลาสั้นที่สุด
  • รับประทานยาพร้อมอาหาร - เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  • ใช้ยา PPI ร่วมด้วย - หากจำเป็นต้องใช้ยา NSAIDs เป็นประจำ
  • พิจารณาใช้ยา COX-2 inhibitors - แทนยากลุ่ม NSAIDs แบบเดิม ในกรณที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด แก้อักเสบข้อและกล้ามเนื้อ

อาหารที่ช่วยลดแผลในกระเพาะอาหาร

อาหารมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับแผลในกระเพาะอาหาร:

อาหารที่ควรรับประทาน

  • อาหารที่อ่อนนุ่ม - เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก มันฝรั่งบด
  • ผักและผลไม้สด - มีวิตามินและเส้นใยที่ช่วยในการหายของแผล
  • โปรตีนที่ย่อยง่าย - เช่น ปลา ไก่ ไข่
  • อาหารที่มีโพรไบโอติก - เช่น โยเกิร์ต กิมจิ มิโซะ เทมเป้ ช่วยปรับสมดุลแบคทีเรีย
  • อาหารที่มีพรีไบโอติก - เช่น กล้วย หัวหอม กระเทียม ข้าวโอ๊ต ช่วยให้แบคทีเรียดีเจริญเติบโต
  • อาหารที่มีฟลาโวนอยด์ - เช่น แอปเปิ้ล สับปะรด ส้ม บรอกโคลี ช่วยลดการอักเสบ
  • น้ำผึ้ง - มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและช่วยในการหายของแผล
  • ขิง - ช่วยลดอาการคลื่นไส้และการอักเสบ
  • ชาเขียว - มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ H. pylori
  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม - ช่วยเคลือบกระเพาะอาหารและลดกรด

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

  • อาหารรสเผ็ด - เช่น พริก พริกไทย ซอสเผ็ด
  • อาหารรสเปรี้ยว - เช่น มะนาว น้ำส้มสายชู
  • อาหารที่มีกรดสูง - เช่น มะเขือเทศ น้ำผลไม้รสเปรี้ยว
  • อาหารมัน - เช่น อาหารทอด ฟาสต์ฟู้ด
  • เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
ข้อมูลโดย
นพ.นที ฟักนาค
นพ.นที ฟักนาค
แพทย์เฉพาะทางชำนาญการด้าน
อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร ( Gastroenterology ) และ การส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)
แพทย์ประจำแผนก ทางเดินอาหารและตับ
พญ.ณัฐสุดา เบญจชินชัยกุล
พญ.ณัฐสุดา เบญจชินชัยกุล
อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร ( Gastroenterology )
นพ.วาทกวี วิมลเฉลา
นพ.วาทกวี วิมลเฉลา
อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร ( Gastroenterology )
พญ.ปภัสกร นพจรูญศรี
พญ.ปภัสกร นพจรูญศรี
อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร ( Gastroenterology )
พญ.ชไมพร กองเกตุใหญ่
พญ.ชไมพร กองเกตุใหญ่
อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร ( Gastroenterology )
นพ.นที ฟักนาค
นพ.นที ฟักนาค
อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร ( Gastroenterology ) และ การส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)
นพ.พลัฏฐ์ สถิรวิชย์
นพ.พลัฏฐ์ สถิรวิชย์
อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร ( Gastroenterology )
facebook messenger iconline icon
โรงพยาบาลศรีสวรรค์